
สื่อพม่ารายงานว่า กองทัพพม่ายอมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอพยพชาวบ้านที่ต้องการหนีภัยสงครามจำนวน 153 คน ออกจากเมืองกาไหม่ รัฐคะฉิ่นแล้ว เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากถูกห้ามไม่ให้ออกจากเมืองของตนเองที่อยู่ในเขตพื้นที่สู้รบในก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวบ้านอีกกว่า 3,000 คน ที่ยังคงติดค้างอยู่ในป่าในเขตเมืองทาไนตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 เมษายน ไม่สามารถอพยพออกมาได้ ขณะที่กระแสต่อต้านสงครามของประชาชนในพม่าเริ่มมีมากขึ้น โดย เยาวชนคะฉิ่นกว่า 5,000 คน ในเมืองมิตจีนา ได้ออกมานั่งประท้วงเรียกร้องให้กองทัพพม่ายอมให้ผู้หนีภัยสงครามภัยที่ติดอยู่ในป่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และคนชราสามารถอพยพออกมาจากพื้นที่สงครามโดยเร็ว
ทั้งนี้ ผู้นีภัยสงครามที่ได้รับการช่วยเหลือครั้งนี้จะเดินทางไปอยู่ที่ค่ายที่พักพิงชั่วคราวที่ทางการจัดไว้ให้ โดยทางรัฐบาลเปิดเผยกับสื่อว่า ชาวบ้านอีกกว่า 3,000 คน ที่ติดค้างอยู่ในป่าในเขตเมืองทาไน จะได้รับการช่วยเหลือออกมาภายในสัปดาห์หน้า ทีมช่วยเหลือผู้ลี้ภัยครั้งนี้ประกอบไปด้วยตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและองค์กรภาคสังคม มีรายงานว่า ทางทีมช่วยเหลือถูกกองทัพพม่าห้ามเข้าไปในพื้นที่สู้รบ จึงทำให้การช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดค้างอยู่ในป่าออกมาไม่สำเร็จ สอดคล้องกับชาวบ้านที่เพิ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาระบุว่า พวกเขาถูกกองทัพสั่งห้ามออกจากหมู่บ้านของตัวเอง เช่นเดียวกับในเมืองทาไน ผู้นำทางด้านศาสนาในพื้นที่ถูกทหารพม่าสั่งห้ามสร้างค่ายพักพิงภัยแห่งใหม่ขึ้น และยังบังคับให้ชาวบ้านกลับไปอยู่ในหมู่บ้านของตน ซึ่งไม่มีความปลอดภัยจากเหตุสงคราม
“กองทัพพม่าสั่งห้ามสร้างค่ายแห่งใหม่ให้กับผู้หนีภัยสงครามทั้งในเมืองทาไน และเมืองน่ำตี เพราะจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเมือง และออกไม่อนุญาตให้ชาวบ้านไปอยู่ในค่ายพักพิงที่มีอยู่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่เลวร้ายมากในด้านสิทธิมนุษยชน” แซมซัน คาลัม เลขาธิการจากกลุ่ม Kachin Baptist Convention กล่าว
ดร.วินเมียตเอ รัฐมนตรีด้านสวัสดิการ บรรเทาทุกข์ และการตั้งถิ่นฐานใหม่เผยว่า หากมีความจำเป็นก็จะต้องสร้างค่ายพักพิงแห่งใหม่ขึ้นเพื่อรองรับผู้หนีภัยสงคราม และทางรัฐบาล NLD เองก็ไม่มีนโยบายที่จะเห็นประชาชนทนทุกข์ทรมานจากการทำสงครามระหว่างทั้งฝ่ายกองทัพพม่าและคะฉิ่น KIA นอกจากนี้ยังมีรายงานออกมาด้วยว่า กองทัพพม่าได้สั่งห้ามไม่ให้องค์กรบรรเทาทุกข์เข้าไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมใดๆ แก่เหยื่อสงคราม เช่น ที่เขตเมืองผากั้นอีกด้วย
นาง มานัม ทูจา ประธานพรรคประชาธิปไตยแห่งรัฐคะฉิ่น(Kachin State Democracy Party) แสดงความคิดเห็นว่า กองทัพพม่าและรัฐบาล NLD ควรจะประสานงานและร่วมมือกันเพื่อให้กระบวนการสันติภาพเกิดขึ้นสำเร็จ และกองทัพจะต้องสนองในสิ่งที่ประชาชนต้องการ “แต่เราเห็นได้ว่า รัฐบาล NLD ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะควบคุมกองทัพพม่าได้” เธอกล่าว
ขณะที่กระแสความไม่พอใจกองทัพพม่าเริ่มมีมากขึ้น กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายทั้งในเมืองย่างกุ้งและเมืองมัณฑะเลย์ได้ออกมารวมตัวกันประท้วงเรียกร้องให้กองทัพพม่ายุติการทำสงครามในรัฐคะฉิ่น และเรียกร้องให้รัฐบาลของนางซูจี เร่งให้การช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดค้างอยู่ในป่า ขณะที่เยาวชนในเมืองมิตจีนา เมืองหลวงของรัฐคะฉิ่น ได้เริ่มการนั่งประท้วงมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 เมษายน ในข้อเรียกร้องเดียวกัน โดยการประท้วงของกลุ่มเยาวชนคะฉิ่นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมถึง 5,000 คน
สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างกองทัพพม่าและคะฉิ่น KIA เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2011 หลังสัญญาหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายทำร่วมกันมา 17 ปี ขาดสะบั้นลง ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นภายในกลุ่มใหม่มากกว่า 100,000 คน และมีค่ายพักพิงที่อยู่ในเขตควบคุมของรัฐบาลและในเขตของคะฉิ่น KIA จำนวน 130 แห่ง จากข้อมูลของสหประชาชาติ สงครามความขัดแย้งที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองทาไน เมื่อเดือนเมษายนที่ีผ่านมา ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นภายในใหม่กว่า 5,000 คน ขณะที่ชาวบ้านที่ติดค้างอยู่ในป่าก็ยังคงถูกทหารพม่าสั่งห้ามอพยพ แต่แรงงานที่เข้าไปทำงานในเหมืองทองและเหมืองอำพันในพื้นที่จำนวน 200 คน กลับได้รับอนุญาตให้ออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวได้
ที่มา DVB/Myanmar Times/Irrawaddy
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ