เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561 น.ส.จิตติมา ผลเสวก ศิลปินอิสระในฐานะตัวแทน Pirates of Petra เปิดเผยว่าในวันที่ 5 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไปจะมีการจัดกิจกรรม “Flooded by Dams น้ำ (ตา) ท่วมเขื่อน” ขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อรณรงค์และอธิบายถึงผลร้ายที่เกิดจากการสร้างเขื่อน โดยมีกรณีเขื่อนแตกในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย สปป.ลาวเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน
“ดิฉันได้ลงพื้นที่มาหลายปี เราพบว่าเขื่อนได้ทำให้สภาพชุมชนและสิ่งแวดล้อมล่มสลาย เขื่อนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของระบบทุนนิยมที่เข้าไปแย่งฐานทรัพยากรของชุมชนเพื่อกอบโกยผลกำไร แถมยังมีเรื่องคอรัปชั่นต่างๆมากมาย ดิฉันคิดว่าหมดเวลาสร้างเขื่อนแล้ว ที่สำคัญต้องพิจารณาด้วยว่าเขื่อนนี้มีอยู่นั้นจะเอาอย่างไร เรามีตัวอย่างเขื่อนแตกให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ถ้าเราไม่หยุดเขื่อนกันในวันนี้ เราจะพากันไปตายหมด” น.ส.จิตติมา กล่าว
ศิลปินผู้นี้กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาการสร้างเขื่อนมักถูกอ้างเหตุผลในเรื่องน้ำและเรื่องพลังงาน แต่ปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่า เขื่อนไม่ใช่คำตอบของทั้งสองเหตุผลโดยเฉพาะด้านพลังงานซึ่งมีทางเลือกอื่นมากมากที่ส่งผลกระทบน้อยกว่าการสร้างเขื่อน
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับความรับผิดชอบของนักลงทุนและรัฐบาลไทยที่ยังไม่เห็นมากนักในกรณีเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก ตัวแทน Pirates of Petra กล่าวว่า ไม่รู้สึกแปลกใจเลยเพราะเป็นธรรมชาติของผู้นำในลักษณะนี้ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคนเล็กคนน้อยและเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ภายในงานจะมีการประมูลภาพเขียนและการรับบริจาคเพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือชาวบ้านลาวที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนแตกในครั้งนี้
วันเดียวกัน น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ประเทศไทย องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)ในฐานะผู้ถือหุ้นธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)หรือ KTB ได้ส่งหนังสือถึงประธานกรรมการธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อขอให้เปิดเผยข้อมูลและแสดงความรับผิดชอบของธนาคารต่อภัยพิบัติโครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย
ทั้งนี้ในหนังสือระบุว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติอันเกิดจากเขื่อนแตก ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ เซเปียน- เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ สาธาณรัฐประชาธิปไตยประชาชน (สปป.) ลาว เป็นเหตุให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย สูญหายยังไม่ทราบชะตากรรมอีกกว่าหนึ่งพันราย และบ้านเรือน ทรัพย์สินใน 13 หมู่บ้านต้องราพณาสูร ผู้รอดชีวิตหลายพันคนเหลือเพียงลมหายใจและเสื้อผ้าติดกาย ครอบครัวพลัดพราก อกสั่นขวัญหาย ด้วยไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า อย่างเพียงพอว่าจะเกิดภัยพิบัติ ซึ่งเป็นที่ปรากฏว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ การสร้างเขื่อนในภูมิภาคอุษาคเนย์ ขณะนี้ผู้รอดชีวิตต้องอยู่รวมกันอย่างแออัดตามศูนย์บรรเทาทุกข์ ไม่มีไฟฟ้า น้ำสะอาด หรือแม้กระทั่งสุขาที่เพียงพอ ชาวบ้านผู้สูญเสียต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้น้ำยังหลากท่วม ข้ามพรมแดนไปถึง ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเซกอง จ.สตึงเตรง กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวกัมพูชาอีกอย่างน้อย 25,000 คน
ในหนังสือระบุด้วยว่า โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน -เซน้ำน้อย ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจาก ธนาคารไทย 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย (“ธนาคาร”) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารธนชาติ เป็นแหล่งทุนที่ปล่อยสินเชื่อร่วม (Syndicated Loan) ซึ่งท่านในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุน คงมีข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เป็นอย่างดี และปฏิเสธไม่ได้ว่า การตัดสินใจปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ย่อมส่งผลกระทบอย่างยิ่งในระดับสาธารณะ และในระดับภูมิภาค เมื่อเป็นการให้สินเชื่อแก่โครงการข้ามพรมแดน/นอกประเทศ ดังเช่นโครงการนี้
ในหนังสือระบุว่า ในฐานะธนาคารชั้นนำของประเทศที่ประกาศว่าจะมี “ความรับผิดชอบต่อสังคม” และตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน คงทราบดีว่า การปล่อยสินเชื่อต่อโครงการฯ เซเปียน-เซน้ำน้อย และสินเชื่อโครงการใหญ่ที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบสูงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปในยุคนี้ ธนาคารต้องพิจารณาความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social & Governance Risk หรือ ESG Risks) และสำหรับโครงการที่จะสร้างผลกระทบต่อชุมชนดั้งเดิม และชนเผ่าพื้นเมือง จำเป็นต้องได้รับการยินยอม โดยชุมชนได้รับข้อมูลล่วงหน้าเพื่อประกอบการตัดสินใจ (Free, Prior & Informed Consent – FPIC)
“ดิฉันในฐานะผู้ถือหุ้นธนาคารของท่าน เฝ้ารอมานานกว่าสัปดาห์ ว่าธนาคารจะมีมาตรการอย่างไรบ้าง แต่จวบจนวันนี้ ดิฉันยังไม่เห็นท่าทีใดๆ จากธนาคาร จึงขอเรียกร้องให้ธนาคารเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้ ต่อผู้ถือหุ้นและต่อสาธารณะโดยเร็ว” น.ส.เพียรพรระบุ ไว้ในหนังสือ พร้อมทั้งระบุข้อเรียกร้องว่า 1.จากข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏในหน้าสื่อ ค่อนข้างชัดเจนว่าภัยพิบัติในครั้งนี้มิใช่ภัยธรรมชาติ หากแต่เกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานและการที่บริษัทลูกหนี้ไม่แจ้งเตือนชาวบ้านล่วงหน้าอย่างเพียงพอ ทั้งสองประเด็นนี้น่าจะขัดแย้งกับเงื่อนไขในรายงานประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (EIA) ตลอดจนเงื่อนไขในสัญญาสินเชื่อของธนาคาร และเป็นเหตุที่เพียงพอในการระงับสินเชื่อโครงการ ธนาคารได้ดำเนินการในส่วนนี้ไปแล้วหรือไม่ อย่างไร และจะมีแนวทางบริหารสัญญาสินเชื่อนี้ในอนาคต อย่างไร
2.ธนาคารจะมีมาตรการกวดขันลูกหนี้อย่างไร ในการเยียวยาประชาชนชาวลาว และกัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม และทันท่วงที 3.ธนาคารจะปรับปรุงกระบวนการกลั่นกรอง และติดตามสินเชื่อโครงการใหญ่ อาทิ เขื่อน โรงไฟฟ้า ในอนาคตอย่างไร หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ 4. ธนาคารเองจะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในกรณีนี้อย่างไร