เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 นายวิทวัส เทพสง เครือข่ายชาวเลอันดามัน เปิดเผยความคืบหน้ากรณีปัญหาที่ดินชุมชนชาวมอแกนเกาะเหลา จ.ระนอง ว่า หลังจากตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินในวันพฤหัสที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งกับชาวบ้านว่ามีบ้าน 3 หลังอยู่ในอาณาเขตที่ดินของเอกชน ทำให้ชาวบ้านทั้ง 3 ครอบครัว ตัดสินใจย้ายหนีไปอยู่ที่เกาะช้างเพราะกลัวว่าจะถูกจับกุม แต่ข้อเท็จจริงพื้นที่ชุมชนชาวเลนั้นตั้งอยู่ในเขตป่าชายเลนที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ ซึ่งการเข้ามาทั้งตำรวจ ทหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้านโดยที่ชาวบ้านไม่รู้กฏหมาย ไม่มีความรู้ปกป้องสิทธิของชุมชน เท่ากับเป็นการกดดันชาวบ้านให้กลัวจนอาจต้องตัดสินใจอพยพหนีไปจากเกาะเหลา จึงอยากเรียกร้องให้คณะกรรมการตรวจสอบปัญหาชาวเลชุดที่มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรามชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเร่งเปิดประชุมเร่งด่วน เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาและชะลอกระบวนการของหน่วยงานในพื้นที่ไว้ก่อน
“เจ้าหน้าที่ควรกลับไปตรวจสอบเอกสารสิทธิว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะหมู่บ้านและสุสานชาวเลตั้งอยู่บนพื้นที่ป่าชายเลน ส่วน นส.3 เพิ่งจะออกเมื่อปี 2559 ที่เดิมไม่มีหลักหมุดเขตที่ดินแน่ชัด เป็นหลักลอย แต่ก็เอามาใช้อ้างสิทธิไล่ชาวบ้านจนต้องถอยย้ายบ้านหนีหลายครั้ง และตอนนี้ก็ยังจะไล่รื้อสุสานอีก ซึ่งชาวบ้านไม่รู้จะไปสู้กับนายทุนอย่างไร” นายวิทวัส กล่าว
ด้านนางเนาวนิตย์ แจ่มพิศ ผู้ประสานงานชุมชนชาวเลเกาะเหลา กล่าวว่า หลังจากตำรวจและทหารได้ลงมาในพื้นที่เพื่อตรวจสอบปัญหาที่ดินชุมชน ทำให้ชาวมอแกนเกิดความกลัวว่าจะถูกจับกุม จนวันก่อนนี้ชาวมอแกน 3 ครอบครัวตัดสินใจหอบหม้อข้าวย้ายออกจากเกาะเหลา นอกจากนี้กำนันและผู้ใหญ่บ้านพยายามเข้ามาเจรจาเกลี้ยกล่อมชาวบ้านหลายครั้งเพื่อหาตัวแทนชาวบ้าน 3 คน ให้ลงชื่อในหนังสือรับรองเอกสารสิทธิ์ นส.3 ของเอกชนที่อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินชุมชนชาวมอแกน โดยชี้แจงต่อชาวบ้านว่าหากยอมเซ็นหนังสือรับรองก็จะช่วยแก้ปัญหาที่ขัดแย้งกับเอกชนให้ ซึ่งหากชาวบ้านเชื่อและยอมเซ็นชื่อก็เท่ากับเป็นการไปรับรองเอกสารสิทธิให้เอกชน ทั้งที่จริงแล้วชุมชนชาวมอแกนตั้งอยู่บนที่ดินของป่าชายเลนที่มีน้ำทะเลท่วมถึง ในแผนที่ป่าชายเลนมีการกันเขตชุมชนรวมถึงสุสานไว้ 6.2 ไร่ ดังนั้นควรไปตรวจสอบเอกสารสิทธิของเอกชนมากกว่าว่าได้มาถูกต้องหรือไม่
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.