
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและเยียวยาวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยประกอบด้วย การให้ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 รักษาฟรี ซึ่งกรณีผู้ประกันตนมีอาการป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ เข้าไปตรวจรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ หากแพทย์ประเมินอาการแล้วสงสัยว่าเข้าข่ายป่วยโรคโควิด-19 แพทย์จะส่งตรวจเพาะเชื้อทางห้องแล็บ โดยผู้ประกันตนไม่ต้องจ่ายค่าตรวจหรือค่ายาใดๆ หากผู้ประกันตนรายนั้นป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะได้รับการรักษาฟรี แต่ถ้าผู้ประกันตนไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิได้สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้หรือโรงพยาบาลของรัฐตามระบบประกันสังคม และเบิกจ่ายกรณีฉุกเฉิน ภายใน 72 ชั่วโมง
นอกจากนี้ครม.ยังได้เห็นชอบเรื่องการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ประกอบด้วย กรณีเหตุสุดวิสัย (โควิด-19) ให้ขยายความคุ้มครองผู้ประกันตนจากภัยอันเกิดจากโรคที่แพร่หรือระบาดในมนุษย์ ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อตลอดจนภัยอื่นๆ ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติหรือมีผู้ทำให้เกิดขึ้นซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน โดยให้ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ดังนี้

1) ผู้ประกันตนที่ไม่ได้ทำงาน เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ซึ่งต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน นายจ้างรับรอง หรือนายจ้างไม่ให้ทำงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยดังกล่าว ให้ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงาน แต่ไม่เกิน 180 วัน
2) กรณีหน่วยงานภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการชั่วคราว และลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้รับค่าจ้าง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 60 วัน
ทั้งนี้จากการออกประกาศให้ผู้ประกอบการหยุดการประกอบการทำให้สถานประกอบการทั่วประเทศได้รับผลกระทบ จำนวน 35,068 แห่ง ผู้ประกันตน จำนวน 644,136 คน ส่วนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีสถานประกอบการได้รับผลกระทบจำนวน 3,970 แห่ง ผู้ประกันตนได้รับผลกระทบ จำนวน 156,589 คน ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มีนาคม – 31 สิงหาคม 2563

กรณีลาออก ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 45 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน (จากเดิมร้อยละ 30) ส่วนกรณีเลิกจ้าง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 70 ของค่าจ้าง ระยะเวลาไม่เกิน 200 วัน (เดิมร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน) ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นคณะกรรมการประกันสังคมจะพิจารณาอีกครั้ง
นอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบมาตรการลดอัตราเงินสมทบและขยายกำหนดเวลายื่นแบบอัตราเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตน ในส่วนของนายจ้าง ร้อยละ 4 ของค่าจ้างผู้ประกันตน (เดิมร้อยละ 5 ) และผู้ประกันตนเหลือร้อยละ 1 (เดิมร้อยละ 5 ) เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่งวดค่าจ้างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 ดังนี้
อนึ่ง ค่าจ้างงวดเดือนมีนาคม 2563 ให้นำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ค่าจ้างงวดเดือนเมษายน 2563 ให้นำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2563 งวดเดือนพฤษภาคม 2563 ให้นำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 กันยายน 2563 ทั้งนี้ อยู่ระหว่างออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ครม.ยังได้เห็นชอบให้สำนักงานประกันสังคม(สปส.)ร่วมกับสถาบันการเงินสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 30,000 ล้านบาท ให้แก่สถานประกอบการ อยู่ระหว่างประสานธนาคารเพื่อตกลงในรายละเอียด คาดว่าจะลงนามข้อตกลงกับธนาคารได้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563
นอกจากนี้ครม.ยังได้เห็นชอบ ผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ต่อจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 การจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ปัจจุบัน มีการดำเนินการอยู่ 7 ศูนย์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 38 ศูนย์ในส่วนภูมิภาค

ทั้งนี้ มีมติของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 เห็นชอบการผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 สามารถอยู่ต่อในราชอาณาจักรและทำงานได้ต่อไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดย 1.กระทรวงแรงงานจะออกประกาศผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว ที่มีใบอนุญาตสิ้นสุดสามารถทำงานต่อไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ไปพลางก่อน และใช้บัญชีรายชื่อ (Name List) ที่กรมการจัดหางานออกให้ใช้เป็นใบอนุญาตทำงานไปพลางก่อน. 2.ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตสิ้นสุดให้อยู่ต่อจนถึง 30 มิถุนายน 2563 และยกเว้นค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบปรับการอยู่เกินกำหนด (Over Stay) 3. ขยายใบรับรองแพทย์ให้มีอายุ 90 วัน
หมายเหตุ มีการแก้ไขตัวเลขกรณี กรณีตกงานหรือพักงานจาก ร้อยละ 100 เป็น ร้อยละ 50 เนื่องจากมีความสับสนในการแถลงข่าวของโฆษกรัฐบาล เนื่องจากได้หยิบเอาเอกสารที่เป็นข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่ยังไ่ม่ผ่านมติคณะรัฐมนตรีมาแถลงข่าว