
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2563 พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง อดีตประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาบุกรุกที่ดินของรัฐ(กบร.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เข้าไปประสานความขัดแย้งกรณีที่ชาวบ้านบ่อไร่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรีนำโดยนายเสนาะ สุขจำเริญ อดีตผู้ใหญ่บ้านบ่อไร่ ที่ร้องเรียนว่าคลองตากบซึ่งเป็นที่จอดเรือและแหล่งหาปลาของชุมชนถูกบุกรุกทำลายป่าชายเลน โดยบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ ตนจึงได้ลงพื้นที่และเข้าไปหารือกับนายเสนาะ หลังจากนั้นได้โทรศัพท์คุยกับผู้บริหารสูงสุดของบริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าว
“ผมได้บอกเขาไปว่าจะไม่ทำถูกให้เป็นผิด หรือผิดเป็นถูก ที่ดินตรงไหนเป็นของสาธารณะก็ควรยกให้เป็นของสาธารณะต่อไป การทำอะไรให้ถูกต้องก็จะทำให้เดินเท้าเย็น เดินไปทางใดก็ได้ แม้ว่าคุณจะชนะในศาล แต่ก็ควรแก้ไขให้ทุกอย่างเป็นธรรมและถูกต้อง ผมเจอปัญหาแบบนี้มาเยอะ จึงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อก่อนคลองกว้างเพราะคนสมัยก่อนใช้เรือและเกวียน แต่เมื่อมีถนนตัดผ่านทำให้คลองแคบลงและตื้นเขิน แต่ที่ดินบริเวณนั้นก็ควรเป็นสาธารณะประโยชน์ หากไม่แก้ไขก็จะเป็นกรรมติดตัวไป เวลาเดินก็เหมือนมีฝีติดอยู่ที่เท้า ซึ่งเขาเห็นด้วยและบอกว่ายินดี” พล.อ.สุรินทร์ กล่าว
พล.อ.สุรินทร์กล่าวว่า ตามข้อเสนอของนายเสนาะคือต้องการให้ขุดดินที่ถมลงคลองขึ้นมาเพื่อให้คลองกว้างเหมือนเดิม แต่ถ้าทำไม่ได้จริงๆก็ควรให้บริเวณดังกล่าวเป็นถนนสาธารณะ ดังนั้นในวันที่ 20 กรกฎาคม ตนจะนำผู้จัดการฝ่ายวางผังที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ไปหารือกับนายเสนาะอีกครั้งเพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งขณะนี้ทั้งสองฝ่ายมีหลักการเดียวกันแล้ว ดังนั้นอะไรที่ทำได้ก่อนก็จะได้ดำเนินการ และอะไรที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและบริษัทเอกชนก็ควรรีบแก้ไข
พล.อ.สุรินทร์ กล่าวว่า จริงๆแล้วการวางผังพื้นที่ขนาดใหญ่ จำเป็นต้องคำนึงถึงเส้นทางน้ำก่อน โดยเฉพาะลำคลองและคูน้ำต่างๆ หากมีอะไรมาขัดขวางก็ควรแก้ไขเพื่อให้เปิดโล่งสำหรับเส้นทางน้ำ ที่ผ่านมาแม้จะมีการอ้างผู้นำท้องถิ่นบางคนเเป็นผู้รับรองชี้แนวเขตและปักหลักแนวคลอง แต่ถามว่าคนเหล่านั้นอายุเท่าไหร่ เพราะสมัยก่อนที่คลองยังคงกว้างใหญ่คนเหล่านั้นก็ยังไม่เกิด แล้วจะรู้แนวเขตได้อย่างไร ซึ่งหากว่ากันตามกฎหมายจริงๆชาวบ้านก็ควรชนะ
ด้านนายเสนาะ สุขจำเริญ กล่าวว่า ตอนแรกตนเสนอให้เอาดินที่ถมคลองขึ้นมาให้หมด แต่หากไม่เอาขึ้นก็ของให้ทำเป็นเส้นทางสาธารณะ อย่างไรก็ตามกรณีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีความที่ตนฟ้องร้องหน่วยงานราชการว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรื่องนั้นก็ต้องว่ากันในศาลต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยงข้อง https://transbordernews.in.th/home/?p=23081