เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 สำนักข่าว People’s Spring รายงานว่า ทหารพม่ายิงปืนใหญ่ใส่เมืองโมแบ โดยเมื่อเวลาประมาณ 05.30 น. ได้ยินเสียงปืน 5 นัด และเมื่อเวลา 10.30น. ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังอีก 3 นัด ตอนนี้ยังไม่มีรายงานจำนวนผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ทีมกู้ภัยโมแบออกมาเตือนไม่ให้ผู้คนออกจากบ้านเพื่อความปลอดภัย
ทางด้านสำนักข่าวกันตรวดีไทมส์ รายงานว่าทหารพม่าประมาณ 200 นายได้เข้าประจำการในเมืองโมแบ ทางตอนใต้ของรัฐฉาน และกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ โดยทหารพม่าได้เคลื่อนพลจากลอยก่อเข้ามาที่เมืองโมแบตั้งแต่เมื่อวาน (15 กุมภาพันธ์) พร้อมด้วยทหารประมาณ 200 นาย และรถถัง 1 คัน
เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประชาชนโมแบ (Moebye PDF) กล่าวว่า “ทหารพม่าเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ความตึงเครียดยังคงดำเนินต่อไป ฝั่งทหารพม่ายิงอาวุธขนาดเล็ก และยิงปืนใหญ่ อีกทั้งยังปิดกั้นทางเข้า-ออกของเมือง ดังนั้นจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งที่เราจะออกไปต่อสู้” เขากล่าว
ทั้งนี้มีผู้คนประมาณ 26,000 คนอาศัยอยู่ในเมืองโมแบ ชายแดนรัฐฉาน-รัฐคะเรนนี
ขณะที่สำนักข่าว Aljazeera รายงานข้อมูลของกลุ่มสิทธิมนุษยชน Fortify Rights ได้ระบุไว้ในรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวัน15 กุมภาพันธ์ กรณีที่กองทัพพม่าได้สังหารพลเรือน และใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ระหว่างการโจมตีหลายครั้งทางตะวันออกของรัฐคะเรนนี ซึ่งอาจถือเป็นอาชญากรรมสงคราม
กลุ่ม Fortify Rights ได้บันทึกการโจมตีโบสถ์ บ้านพักอาศัย ค่ายสำหรับผู้ลี้ภัย และเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหารอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐคะเรนนี หรือที่รู้จักกันในชื่อรัฐกะยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบกันอย่างดุเดือดระหว่างกองทัพและกลุ่มต่างๆ ที่ต่อต้านการทำรัฐประหารในปีที่แล้ว ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2564 ถึง มกราคม 2565 โดยพบว่าช่วงเวลาดังกล่าว มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 61 ราย
“รัฐบาลทหารพม่ากำลังสังหารผู้คนด้วยอาวุธที่จัดหามาจากตลาดโลก และการกระทำเช่นนี้ต้องหยุด” Ismail Wolff ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคของกลุ่ม Fortify Rights กล่าวในแถลงการณ์ “จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างชัดเจนและเด็ดขาดเพื่อผลักดันให้รัฐบาลทหารพม่าทบทวนการโจมตีพลเรือน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต้องเร่งสั่งห้ามส่งออกอาวุธทั่วโลกกับกองทัพพม่า และจะกลายเป็นยุทธศาสตร์และความสมเหตุสมผลที่อาเซียนจะสนับสนุน”
รายงานของ Fortify Rights อิงตามคำให้การของพยานและผู้รอดชีวิต 31 คน ตลอดจนหลักฐานภาพถ่ายและวิดีโอที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว รวมถึงรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับการสังหารในวันคริสต์มาสอีฟในเมืองพรูโซ โดยมีพลเรือนอย่างน้อย 40 คน รวมถึงเด็ก 1 คน และเจ้าหน้าที่ Save the Children สองคน ถูกสังหาร
แพทย์ที่ทำการชันสูตรพลิกศพของผู้เสียชีวิตบอกกับ Fortify Rights ว่าศพบางส่วนถูกเผาอย่างรุนแรงจนไม่สามารถชันสูตรได้ แต่ทีมของเขาสามารถยืนยันได้ว่าศพของห้าคนเป็นผู้หญิงและอีกศพเป็นเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี
ในอีกกรณีหนึ่ง Fortify Rights กล่าวว่ากองทัพพม่าใช้ชาย 18 ปี ลุงของเขา และชายอีก 2 คนเป็นโล่มนุษย์ระหว่างการปะทะกับกองกำลังพิทักษ์ประชาชนของคะเรนนี (PDF) ในเมืองมองบาย ซึ่งมีชายแดนติดกับรัฐฉาน
“ทหารวางปืนบนบ่าของเราและยิงกลุ่ม PDF โดยอยู่ข้างหลังเรา” ชายคนหนึ่งบอกกับ Fortify Rights “เราถูกมัดและปิดตา เราถูกทรมานมากมายด้วยหลายวิธี พวกเขาเตะร่างกายเรา ตีหัวเราด้วยด้ามปืน และอื่นๆ” Fortify Rights ระบุว่าชาย 3 คนหลบหนีไปได้ในที่สุด แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ 4
ข้อมูลจากสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (AAPP) ซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,549 คนทั่วประเทศ ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ และมีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 12,000 คน
“ผู้นำรัฐประหาร มินอ่องหล่าย และกองกำลังของเขาอ้างว่ากำลังต่อสู้กับ ‘ผู้ก่อการร้าย ในทางกลับกัน กองกำลังของเขากำลังก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อประชากรพลเรือนโดยไม่ต้องรับโทษโดยสิ้นเชิง”
Fortify Rights ระบุว่าการคว่ำบาตรอาวุธและเทคโนโลยีทั่วโลกต่อกองทัพพม่า ซึ่งนำโดยองค์การสหประชาชาติ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และองค์การสหประชาชาติควรกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมเพื่อยับยั้งไม่ให้กองทัพเข้าถึงแหล่งเงินทุนและรายได้ที่สำคัญที่สุด จากการขายก๊าซธรรมชาติ
อีกทั้งสถานการณ์ในพม่าควรส่งต่อไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นผู้ดำเนินคดี
ตามรายงานของเครือข่ายประชาสังคมคะเรนนี ระบุว่าพลเรือนประมาณ 170,000 คนในรัฐคะเรนนี หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรประมาณ 300,000 คนของรัฐ ถูกบังคับให้ต้องทิ้งบ้านของพวกเขา เนื่องจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของทหาร
ส่วนความพยายามทางการทูตเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์พม่ามีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในพม่าเพียง 5 ฉบับและแถลงการณ์ของประธานาธิบดีเพียงฉบับเดียวเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2564
Fortify Rights ระบุว่าถึงเวลาแล้วที่อาเซียนจะต้องแสดงจุดยืนอย่างแน่วแน่ต่อผู้นำรัฐประหาร เรียกร้องให้องค์กรร่วมมือกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติพม่า (NUG) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งและถูกทหารยึดอำนาจไป เช่นเดียวกับตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์