Search

นักวิชาการติงรวบรัดโครงการร่วมทุนรัฐ-เอกชนผันน้ำยวม ชี้มูลค่าแสนล้านแต่ใช้เวลาศึกษาแค่ 150 วัน กรมชลประทานจัดประชุมชี้แจง-เผยมีความสำคัญระดับโลก

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 ได้มีการประชุมสรุปผลการศึกษาโครงการ โครงการศึกษาวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (4Ps)โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting โดยผู้แทนกรมชลประทานนำเสนอ  อาทิ ทำไมควรผันน้ำยวมเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เป้าหมายและองค์ประกอบของการพัฒนาโครงการ ผลประโยชน์ที่ได้ ความพร้อมของภาครัฐ รูปแบบการลงทุน มูลค่าการลงทุน และแผนการดำเนินงานของ 3 กรณีทางเลือก มาตรการสนับสนุนและการบริหารความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ โดยมีการนำเสนอโดยบริษัทที่ปรึกษา 3 แห่งที่ได้รับการว่าจ้างโดยกรมชลประทาน นำโดยปัญญาคอนซัลแตนท์ จำกัด 

ผู้แทนกรมชลประทานกล่าวว่า จากการสำรวจพื้นที่โครงการพบว่าที่บ้านสบเงา จ.แม่ฮ่องสอน มีประมาณ 29 ครัวเรือนที่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งเราให้ความสำคัญแก่ผู้ได้รับผลกระทบ รายงานเราใช้เวลา 3 ปี จึงผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และพัฒนาการร่วมทุนเป็นรูปแบบ Public Private People Partnership หัวใจของโครงการคือร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน เพื่อให้เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสำหรับโครงการนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็มีความสำคัญเพราะโครงการต้องสูบน้ำ ตอนนี้ กฟผ. อยู่ระหว่างว่าจ้างที่ปรึกษาทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กำหนดแล้วเสร็จกลางปี เมื่อส่งเข้าคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ถ้าผ่าน ก็จะดำเนินการก่อสร้างสายส่ง 5-6 ปี และสำหรับการประปานครหลวงเองก็มีปัญหาแหล่งน้ำ น้ำประปาไม่เพียงพอ 

“โครงการนี้มีความสำคัญระดับโลก เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG คือต้องรอว่ารัฐบาลจะอนุมัติเมื่อไหร่ กรมชลประทาน พร้อมมาก” ผู้แทนกรมชลประทาน กล่าว

สำหรับรูปแบบการลงทุนที่โครงการได้พิจารณา เอกสารประกอบการประชุมระบุว่ามี 3 รูปแบบ คือ 1 กรณีรัฐดำเนินงานทั้งหมดตามรูปแบบปกติ ภาครัฐเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาที่ดิน ลงทุนก่อสร้าง ดำเนินงานผันน้ำและบำรุงรักษา รวมถึงการจัดเก็บรายได้ของโครงการ และผู้ใช้น้ำที่ต้องชำระค่าน้ำตาม พรบ.ทรัพยากรน้ำ พศ. 2561 (ประเภทที่ 1 และ 3) รูปแบบที่ 2 กรณีเอกชนจัดหาแหล่งเงินทุนและลงทุนก่อสร้าง รัฐดำเนินงานและบำรุงรักษา ภาครัฐจัดหาที่ดินและมอบหมายให้เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาแหล่งเงินทุนและการก่อสร้าง เมื่อก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเสร็จเรียบร้อยภาครัฐจะเข้ามาเป็นผู้ดำเนินงานและบำรุงรักษา รูปแบบที่ 3 กรณีการให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ Gross Cost PPP ภาครัฐจัดหาที่ดินและให้สิทธิเอกชนรับผิดชอบในการลงทุนก่อสร้างและดำเนินงานผันน้ำและบำรุงรักษา โดยที่ภาครัฐเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ทั้งหมดของโครงการรวมถึงการจัดเก็บรายได้ด้วยตนเอง ซึ่งภาคเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนจากการให้ดำเนินงาน 

เอกสารการประชุมระบุอีกว่ามูลค่าการลงทุนทั้ง 3 รูปแบบ ค่าใช้จ่ายโครงการ งานดำเนินงานและบำรุงรักษา และค่าลงทุนโครงการ อยู่ที่ 172,200.34 ล้านบาท 170,802.68 ล้านบาท และ 170,620.36 ล้านบาท ตามลำดับ   

ขณะที่ผู้แทนหอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่าระยะอุโมงค์ผันน้ำ 60 กม. น้ำยวมมีเหลือเฟือ อยากให้มองสถิติปริมาณฝนที่ผ่านมา กลัวว่าอาจจะมีฝนหนักในลุ่มน้ำปิง หรือเป็นไปได้หรือไม่ที่ในอนาคตปริมาณน้ำยวมอาจไม่พอที่จะผันมา ส่วนตัวนั้นชอบโมเดล PPP เพราะรัฐบาลปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ การอธิบายให้เข้าใจ ว่าหากรัฐกู้เงินมาเอง ก็จะมาจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ แต่หากเป็นการลงทุนโดยเอกชนอาจมีผลดีมากกว่า 

ผู้แทนกรมชลประทานกล่าวว่ามีการศึกษาหลายทางเลือกมาแล้ว ไม่ว่าจะการสร้างอ่างเพิ่ม และการผันน้ำ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาความต้องการน้ำสูงขึ้น แต่ 4 อ่างใหญ่ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ปริมาณน้ำที่เข้ามาก็แค่ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เขื่อนภูมิพลสร้างมา 50 กว่าปี น้ำเคยเกือบเต็มเพียง 5 ครั้ง การใช้น้ำตอนบนก็มาก ไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แต่พม่าเป็นแหล่งน้ำ ปริมาณฝนตกมาก แต่เก็บน้ำไม่ได้ไม่มีอ่าง 

“การทำอ่าง เช่น แก่งเสือเต้น 1,000 ล้าน ลบ.ม. ทำไม่ได้ มีปัญหาผลกระทบ แม่วงก์ก็สร้างไม่ได้ ทุกทางเลือกกรมชลประทานได้ดำเนินการแล้ว การผันน้ำเป็นทางเลือกหนึ่ง มีผลกระทบบน้อย ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เขื่อนภูมิพล 3,500 ล้านบาท กู้เงินธนาคารโลก มองการณ์ไกลมาก การกักเก็บน้ำเป็นการกักเก็บน้ำในฤดูฝนเพื่อนำมาใช้ในฤดูแล้ง” ผู้แทนกรมชลประทาน กล่าว 

ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่าในฐานะนักวิชาการด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนภูมิพลในอดีตในวันที่เราต้องการน้ำซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการปลูกข้าวและเราต้องการส่งออกข้าวเป็นที่หนึ่งของโลก แต่ในฐานะนักวิชาการมองว่าทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย  ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกให้ข้อมูลอะไร วันนี้มีคนถามว่าโครงการนี้มีข้อเสียอะไรบ้าง แต่ในที่ประชุมไม่มีการพูดถึง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและมีผู้ร่วมประชุมหลายท่านตั้งข้อสังเกตต่อการใช้น้ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ว่ามีความต้องการน้ำชลประทานสูงมาก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ระบุว่าปีละ 12,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ด้วยประสิทธิภาพของระบบชลประทาน ซึ่งมีเพียง 50-60% หมายความว่า เราสูญเสียไปถึงปีละไม่น้อยกว่า 5,000 ล้าน ลบ.ม ซึ่งมากกว่าสองเท่าของปริมาณน้ำที่จะผันมาด้วยซ้ำ การประปานครหลวงผลิตน้ำวันละ 5.5 ล้าน ลบ.ม หายไป 30% เท่ากับ 1.6 ล้าน ลบ.ม ต่อวัน ปีละมากกว่า 500 ล้าน ลบ,ม. เพียงพอสำหรับปลูกข้าวได้มากกว่า 5 แสนไร่ หากเรายังทำน้ำหายไปแบบนี้โดยไม่จัดการ แต่อยากผันน้ำปีละ 1800 ล้าน ลบ.ม. จะยังบอกว่าตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG ได้อีกหรือ? การผันน้ำยวมอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของกรมชลประทานอย่างที่ผู้ชึ้แจงกล่าว แต่การมองน้ำต้องมองเป็นองค์รวมของน้ำทั้งระบบ ไม่ได้เป็นพันธกิจของกรมชลประทานเพียงหน่วยงานเดียว แต่ต้องจัดการน้ำทั้งลุ่มน้ำ และการลดน้ำสูญเสีย คือ การเอาน้ำที่ทำหายไป น้ำที่เป็นของเราอยู่แล้ว น้ำที่มีต้นทุน … กลับคืนมา 

ดร.สิตางศุ์ กล่าวว่า แทนการใช้งบมากกว่า 7 หมื่นล้านบาทไปผันนน้ำ ทำไมไม่ลงทุนเพื่อเอาน้ำของเราที่ทำหายไปเหล่านี้กลับคืนมา การประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 ท่านรองนายกประวิตร ประธานในที่ประชุมได้มีคำสั่งให้กรมชลประทาน และ กปน. ไปจัดการน้ำสูญเสียอย่างเร่งด่วน อีกประการหนึ่ง ตนมีข้อสังเกตว่าการศึกษานี้เป็นการศึกษาต่อเนื่องที่บริษัทปัญญา เป็นผู้ทำการศึกษา EIA มาก่อน ถึงตอนนี้ รายงาน EIA ดังกล่าวยังมีหลายประเด็นที่ผู้ศึกษายังไม่ได้ให้ความกระจ่างแก่สังคม จนนำมาถึงการสั่งการของ สทนช. ให้กรมชลประทานทำการมีส่วนร่วมเพิ่มเติม แต่กรมชลประทานก็ได้ว่าจ้างบริษัทปัญญาอีกให้ทำการศึกษา PPP นี้ ซึ่งพบว่ารวบรัดตัดตอน มีเวลาให้เตรียมเอกสารเพียง 5 วัน ใช้เวลาศึกษาเพียง 150 วัน ค่าศึกษา 28 ล้านบาท … เหตุใดจึงต้องรวบรัดขนาดนี้? 

“เราพูดถึงการเก็บค่าน้ำ ที่ไม่เก็บจากผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 คือเกษตรกร แต่ผู้ใช้น้ำประเภท 2-3 จะถูกเอกชนเก็บค่าน้ำแน่นอนเนื่องจากเป็นการลงทุนโดยเอกชนที่ต้องการกำไร การเก็บค่าใช้น้ำน้ำจะใช้กฎหมายอะไร เรามี พรบ. น้ำ แต่กฎหมายลูกว่าด้วยการเก็บค่าน้ำจากผู้ใช้น้ำประเภทที่ 2 และ 3 ยังไม่ออก ทำไมเรื่องสำคัญขนาดนี้ต้องเร่งรีบ ทำไมรอกฎหมายลูกไม่ได้ การประปานครหลวงรู้ตัวหรือไม่ว่าหากเก็บค่าน้ำจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทุกวันนี้ประชาชนจ่ายค่าน้ำประปา ลบ.ม ละ 10 บาท ไม่เคยขึ้นเลย 15 ปี แล้วต่อไปหากมีการเก็บค่าน้ำ กปน. จะทำอย่างไร กปน. ถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ต้องร่วมในกระบวนการรับฟังและมีส่วนร่วมใช่หรือไม่? จะอย่างไร คำถามคือ เราจำเป็นต้องทำให้ทันในรัฐบาลชุดนี้ใช่หรือไม่ และในฐานะนักวิชาการด้านน้ำ ขอยืนยันว่า การผันน้ำจากยวม มาเติมภูมิพลไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดที่ทำได้ ลุ่มเจ้าพระยาไม่ได้ขาดน้ำ แต่เราขาดการบริหารจัดการน้ำที่ดี และการบูรณาการน้ำของประเทศยังไม่ได้ดำเนินการ” ดร.สิตางศุ์ กล่าว

ผู้แทนจาก จ.ตาก กล่าว่าอยากทราบข้อมูลเรื่องสายส่งไฟฟ้า อยากให้ระบุชัดเจน เพราะหากในอนาคตพม่าสร้างเขื่อนฮัตจี (บนแม่น้ำสาละวิน) ก็จะได้ใช้สายไฟฟ้านี้ด้วย 

ผู้แทนกรมชลประทาน กล่าวว่าเขื่อนน้ำยวม จะก่อสร้างห่างจากแม่น้ำเมยและสาละวิน เพียง 13 กม. เป็นน้ำที่ทิ้งลงเมยและสาละวิน การปล่อยน้ำตลอดเวลาเพื่อรักษาระบบนิเวศ จากนั้นไม่มีใครใช้แล้ว ก็มีแค่ค่ายผู้อพยพชนกลุ่มน้อย ตรงเขื่อนน้ำยวมก็จะมีโรงไฟฟ้าขนาด 9 เมกะวัตต์ ส่งให้แม่สะเรียงและบางพื้นที่ในแม่ฮ่องสอน

On Key

Related Posts