
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต มีการจัดเสวนาวิชาการ “อ่าวกุ้ง อัญมณีแห่งท้องทะเล กับความท้าทายสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยมีนักวิชาการที่เกี่ยวข้องร่วมแลกเปลี่ยน
สำหรับบ้านอ่าวกุ้ง ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เป็นชุมชนประมงพื้นบ้าน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเกาะภูเก็ต มีผืนป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ และมีแนวปาการังเขากวางผืนใหญ่ ถือเป็นแหล่งความั่นคงทางอาหารที่สำคัญของภูเก็ต ซึ่งชุมชนร่วมกันฟื้นฟูและแหล่งอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่ร่วมกัน ปัจจุบันกำลังเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากโครงการพัฒนาท่าจอดเรือยอชต์และเรือสปีดโบ๊ตขนาดเล็ก มูลค่าลงทุน 800 ล้านบาท
อาจารย์สายสนิท พงศ์สุวรรณ คณะวิทยาศาสตร์ะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต กล่าวว่า พื้นที่อ่าวกุ้งถือเป็นอัญมณีด้านธรณีวิทยาที่สำคัญเนื่องจากมีระบบนิเวศที่หลากหลาย มีทั้งอุทยานแห่งชาติลำเขาปี-หาดท้ายเหมือง อุทยานแห่งชาติสิรินารถ และอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา โดยมีสิ่งมีชีวิตมีความเชื่อมโยงข้ามไปมา ทำให้มีความหลากหลายและเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดของภูเก็ต นอกจากนี้ยังมีเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแพวที่เป็นพื้นที่ป่าดิบชื้นสำคัญ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังผลักดันให้เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลคุณค่าระดับโลกภายใต้ยูเนสโก
“หาดเลนของอ่าวกุ้งเป็นที่อยู่ของกุ้งและหอย ซึ่งเป็นส่วนต้นของห่วงโซ่อาหารให้ปูม้าและปลากิน และชาวบ้านประมงได้จับมาขาย แม้แต่ใบกล้วยก็สามารถเลี้ยงชีพได้ ช่วงโควิด19 เราปิดประเทศ นักท่องเที่ยว 14 ล้านคนเหลือ 0 จังหวัดภูเก็ตร้อยละ 90 ทำงานด้านการท่องเที่ยว เมื่อปิดเกาะเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร ไม่มีผักมาขาย สถานการณ์เรารอดมาได้จากทรัพยากรในพื้นที่ป่าคอก เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายความมั่นคงอาหาร” อาจารย์สายสนิท กล่าว
นางสาวจรัสศรี อ๋างตันญา นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน กล่าวว่า ข้อมูลภาพถ่านดาวเทียมที่ทำการสำรวจเมื่อปี 2553 โดยหลังสถานการณ์ปะการังฟอกขาว และการสำรวจเดือนมีนาคม 2565 บริเวณเกาะแฮ พบว่ามีพื้นที่ปะการังมากถึง 65 ไร่ โดยพื้นที่อ่าวกุ้งไม่ใช่รองน้ำแต่เป็นสันทราย โดยแนวโน้มการฟื้นตัวตามธรรมชาติของปะการังดีขึ้น โดยในปี 2565 พบว่าที่เกาะแพ เกาะรา เกาะปายู เกาะงำ และชายฝั่งบ้านอ่าวกุ้ง มีสภาพอยู่ในระดับสมบูรณ์ มีแนวปะการังรวม 547 ไร่ พบสัตว์น้ำหลายชนิด เช่น ปลิงทะเล เม่นทะเล ปะการังเขากวาง กัลปังหาสีแดง จึงยืนยันได้ว่ามีศักยภาพเป็นอัญมณีของภูเก็ต
ดร.จตุรงค์ คงแแก้ว คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลับสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต กล่าวว่า แนวปะการังในพื้นที่อ่าวกุ้งมีลักษณะที่เป็น Super Corals หรือ ปะการังทนต่อความเปลี่ยนแปลงและฟื้นตัวเองได้ ซึ่งทั่วโลกกำลังค้นหาปะการังเหล่านี้เพื่อนำมาศึกษาวิจัยนำองค์ความรู้มาใช้แก้ปัญหาการตายของปะการังที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งหากเราสามารถรักษาแนวปะการังเอาไว้และมีการศึกษาวิจัยก็จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
“ปี 2562 เราเปิดกล่องแพนโดราให้มีการสร้างเขื่อนกันคลื่น ทำให้เกิดเขื่อนกันคลื่นทั่วประเทศ มีผลกระทบมากมาย ถ้ามีโครงการอ่าวกุ้งที่ต้องขุดลอกร่องน้ำ จะเกิดการเปิดกล่องแพนโดราใหม่ให้เกิดการขุดลอกไปทั่วประเทศ เกิดความขัดแย้งไปทั่วทะเลไทย เรามีโครงการแบบนี้มากพอหรือยัง เราศึกษาชั่งน้ำหนักดีพอหรือยังว่าคุ้มค่า ถ้ามีวิกฤติทะเลคือหลังพิงสุดท้ายของคนจน สามารถเดินหาปู มีเรือเล็กก็ออกทะเล ถ้าหลังพิงนี้พัง ใครจะรองรับวิกฤติในอนาคต ทะเลคือแหล่งหากินของคนจนที่ดีที่สุด” ดร.จตุรงค์ กล่าว
ดร.จตุรงค์ กล่าวอีกว่า พื้นที่ของพะยูนมีแนวโน้มจะถูกตัดขาดออกจากกัน เกิดปัญหาพยูนเลือดชิด อนาคตจำเป็นต้องทำคอริดอร์ หรือการเชื่อมต่อแหล่งหากินของพยูน เพื่อให้มีการเคลื่อนย้ายและมีการผสมพันธุ์ข้ามกลุ่มมากขึ้น ซึ่งแหล่งหญ้าทะเลทั้งที่พังงา และอ่าวกุ้ง รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ต้องทำให้เกิดการเคลื่อนย้าย ซึ่งหากมีโครงการนี้เกิดขึ้นจะกระทบต่อแหล่งหญ้าทะเลของพะยูนด้วย
อาจารย์วีรนันท์ สงสม คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลับสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต กล่าวว่า จากผลการแปลตีความภาพถ่ายดาวเทียมย้อยหลัง 50 ปี จุดที่ถูกชี้ว่าเป็นร่องน้ำในปัจจุบันที่จะต้องมีการขุดลอกนั้น เดิมในปี 2519 เป็นเพียงช่องว่างที่มีสภาพต้นไม้ และชาวบ้านได้เดินเข้าออก ไม่มีเส้นลำน้ำ แต่เคยถูกใช้งานเป็นทางระบายน้ำ โดยภายหลังมีการตัดโค่นต้นไม้และพักการใช้งาน ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเดิมไม่มีร่องน้ำอยู่
ดร.อาภา หวังเกียรติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การมีร่องน้ำหรือไม่มีนั้น มีผลอย่างมากในการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ เนื่องจากกฏหมายระบุว่าหากมีร่องน้ำ โครงการจะต้องทำอีไอเอ ที่ใช้ระยะเวลาศึกษา 1-3 ปี เพื่อศึกษาผลกระทบ แต่หากมีการตีความว่ามีร่องน้ำอยู่เดิม และเป็นการขุดร่องน้ำเดิม จะไม่ต้องทำอีไอเอ ซึ่งที่ผ่านมาโครงการขุดลอกหลายโครงการพยายามทำให้พื้นที่มีการตีความว่าเป็นร่องน้ำเก่า เพื่อเลี่ยงการทำอีไอเอ เช่น แม่น้ำเทพา และการขุดลอกอ่าวปัตตานี เป็นต้น
“สิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าภาพถ่ายต่างๆ คือข้อมูลจากพื้นที่ชุมชน ประวัติศาสตร์ของชุมว่าที่อดีตพื้นที่นั้นเป็นอย่างไร เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เราไม่อาจมองอ่าวกุ้งโดดๆ ได้ พราะภูมินิเวศเชื่อมภูเก็ตกับอ่าวพังงา ถ้าโดนทำลายจะส่งผลต่อภาพรวมทั้งหมด เพราะมีสิ่งมีชีวิตที่ว่ายไปมาอ่าวพังงานอ่าวกุ้ง เป็นป่าชายเลนกว่า 1 แสนใร่ที่เชื่อมต่อกัน เป็นพื้นที่ที่เป็นเอกลักษณ์ เขา ป่า นา เล ซับซ้อนมีเอกลักษณ์เฉพาะ ถ้าเราไปขุดร่องน้ำ ห่วงโซ่จะถูกทำลาย ควรศึกษาให้ดีก่อนว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะจากอดีตภูเก็ตเสียหายมามาก ที่เน้นพัฒนาการท่องเที่ยว สร้างทุกอย่างสนับสนุนการท่องเที่ยว แต่ทำลายสภาพแวดล้อมทุกอย่าง” ดร.อาภา กล่าว
—————-