โดย ภาสกร จำลองราช

หลายบ้านมีบังเกอร์หรือหลุมหลบภัยเป็นของตัวเอง บางหลังใช้ใต้ถุนบ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัย บางหลังใช้หลุมข้างบ้านดัดแปลงโดยใช้ถุงทรายวางเป็นชั้นๆล้อมรอบและใช้แผ่นปูนหรือไม้กระดานเป็นหลังคาทับด้วยถุงทราย
ขณะที่โรงเรียนแห่งเดียวของหมู่บ้านก็มี “เบบี้บังเกอร์”เป็นหลุมหลบภัยเอาไว้ในยามฉุกเฉิน แต่ในเวลาปกติกลายเป็นสนามเด็กเล่นอันน่าสนุกสนานของเหล่านักเรียนตัวน้อย
สภาพของหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยหลุมหลบภัยเช่นนี้ย่อมสะท้อนภาพสถานการณ์อันไม่ปกติของหมู่บ้านแห่งนี้
หมู่บ้านท่าตาฝั่งอยู่ริมแม่น้ำสาละวิน ในเขตอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนโดยฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำคือรัฐกะเหรี่ยง เขตแดนประเทศพม่า
เมื่อฤดูแล้งปี 2564 ริมแม่น้ำสาละวินย่านนี้ได้เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ระหว่างทหารพม่าและทหารของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union:KNU)กองพล 5 รวมถึงบริเวณตรงข้ามบ้านท่าตาฝั่งซึ่งได้มีกระสุนปืนใหญ่ข้ามแดนมาตกในผืนนาใกล้หมู่บ้าน จนชาวบ้านตกอพยพหนีเข้าไปอยู่ในลำห้วยที่อยู่ในป่าลึกเข้าไปในแผ่นดินไทย ขณะที่เครื่องบินมิก-29 บินของทหารพม่าบินปฎิบัติการอยู่หลายวัน
“ตอนนั้นแผ่นดินสะเทือนไปหมด เขารบกันหนัก ทหารพม่าขับเครื่องบินมาทิ้งระเบิดทุกวัน พวกเราไม่เป็นอันทำมาหากินเพราะเสียงเครื่องบินที่บินวนอยู่บนฟ้า แหงนหน้ามองก็เห็น” ชาวบ้านร่วมกันย้อนอดีตเหตุการณ์เมื่อปีก่อน แต่ภาพต่างๆยังติดตา ที่สำคัญยังมีเสียงเครื่องบินและเสียงระเบิดย้ำเตือนให้ได้ยินอยู่จนถึงวันนี้
“ความกลัวยังบาดลึก แค่ลูกมะม่วงตกใส่หลังคาบ้าน ยังผวานึกว่าระเบิดลง ”ชาวบ้านท่าตาฝั่งเล่าอย่างติดตลก แต่ชีวิตจริงช่างไม่ตลกเอาเสียเลย เพราะนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ความอกสั่นขวัญหายยังอยู่ในใจชาวบ้านเสมอเพราะทางการแทบไม่ได้สร้างอุ่นใจใดๆให้พวกเขาเลย

ผมมีความทรงจำดีๆถึงหมู่บ้านแห่งนี้ เพราะเคยอาศัยนอนหลายครั้ง ด้วยบรรยากาศอันงดงาม ด้านหน้าติดแม่น้ำสาละวินกว้างใหญ่ ยามฝนสีน้ำขุ่นคลั่กแต่เย็นเฉียบ เหนือตลิ่งฝั่งตรงข้ามเป็นป่าใหญ่ของรัฐกะเหรี่ยงที่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานสันติภาพสาละวิน (SPP)
ด้านหลังหมู่บ้านมีลำห้วยแม่กองคาซึ่งมีน้ำใสไหลผ่านโขดหินลงสู่แม่น้ำสาละวิน เหมาะอย่างยิ่งในการชวนเด็กๆมาเล่นน้ำ ขณะที่บริเวณข้างลำห้วยมีผืนนาที่มีความสูงต่างระดับลดหลั่นคล้ายนาขั้นบันไดในยามหน้านาสวยงามมาก
หลังการปะทะใหญ่ผ่านไปกว่า 1 ปี ในค่ำคืนหนึ่งผมมีโอกาสได้มานอนที่หมู่บ้านชายแดนแห่งนี้อีกครั้ง ได้ล้อมวงเฮฮาคุยกับชาวบ้าน ครู กรรมการหมู่บ้านและใครอีกหลายคน หลังจากเคยถูกสกัดกั้นห้ามเข้าหมู่บ้านตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีก่อนตามนโยบายทางการทหารที่ห้ามสื่อมวลชนและกลุ่มความช่วยเหลือต่างๆเข้าพื้นที่ที่มีผู้หนีภัยจากการสู้รบจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาพักพิง
สถานการณ์การต่อสู้เมื่อปีที่แล้วเริ่มต้นเมื่อเดือนมีนาคม ภายหลังจากที่มีข้าวสารและเสบียงปริศนา 700 กระสอบกองอยู่ริมแม่น้ำสาละวินบริเวณท่าเรือบ้านแม่สามแลบ เพื่อเตรียมส่งไปยังฐานทหารพม่าริมแม่น้ำสาละวิน
ขณะนั้นอยู่ในช่วงที่ KNU กำลังดำเนินยุทธวิธีตัดเสบียงเพื่อกดดันให้ทหารพม่าประจำฐานริมแม่น้ำสาละวินออกจากพื้นที่เพราะเห็นว่าเป็นภัยคุกคามชาวบ้าน แต่เมื่อข่าวหลุดว่ามีการใช้แผ่นดินไทยส่งเสบียงให้พม่า แม้กองทัพและผู้นำไทยออกมาปฎิเสธ แต่ดูจะสวนทางกับข้อเท็จจริงเพราะมีภาพวีดีโอช่วงที่ทหารพม่าขนข้าวสารลงไปยังท่าเรือแม่สามแลบโดยผ่านป้อมยามทหารพรานซึ่งไม่ได้มีการต่อต้านใดๆ
เมื่อเป็นข่าวใหญ่โต ทำให้ข้าวกองดังกล่าวถูกขนออกไปอย่างปริศนาเช่นเดียวกับตอนมา ขณะที่ทหาร KNU ได้บุกยึดฐานทหารพม่าได้หลายแห่ง ทำให้เกิดการสู้รบครั้งใหญ่
กองทัพพม่าได้ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดที่ชุมชนเดปูโหน่ซึ่งเป็นฐานบัญชาการใหญ่ของ KNU กองพล 5 และยังถือโอกาสถล่มชุมชนกะเหรี่ยงโดยรอบยับเยิน จนชาวบ้านนับหมื่นต้องหนีตายมาหลบภัยริมแม่น้ำสาละวินฝั่งประเทศไทย
“พวกเราเป็นคนเผ่าเดียวกัน แม้จะอยู่คนละฟากแม่น้ำ แต่ละคนต่างก็เคยเห็นหน้ากัน พอเขาเดือดร้อนหนีข้ามมาเราก็อยากช่วยเหลือ แต่ดันมีกฎห้าม แถมขู่ด้วยว่าจะไม่มีใครคุ้มครองเรา” ชาวบ้านที่เป็นกรรมการหมู่บ้านท่าตาฝั่งเล่าถึงสถานการณ์ที่มีผู้หนีตายจากฝั่งรัฐกะเหรี่ยงข้ามมาหาพื้นที่ปลอดภัยฝั่งไทย
ในช่วงเวลานั้นตลอดริมแม่น้ำฝั่งไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติสาละวิน มีชาวกะเหรี่ยงหลายพันคนข้ามมาหลบภัย แต่พวกเขาต้องถูกผลักดันกลับในเวลาอันรวดเร็วเพราะทางการไทยเกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคง

ทุกช่องทางที่จะเข้าถึงผู้หนีภัยถูกสกัดกั้นด้วยทหารอย่างเข้มงวด แต่สื่อมวลชนและกลุ่มคนที่คอยให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยจำนวนหนึ่งก็สามารถเล็ดรอดเข้าไปได้ ทำให้พบความจริงว่าจำนวนตัวเลขผู้หนีภัยการสู้รบที่เข้ามาพึ่งพิงประเทศไทยและตัวเลขที่ทางการประกาศต่อโลกนั้นแตกต่างกันมาก
“สงสารเด็กๆต้องไปอยู่ตามลำห้วยในป่าท้ายหมู่บ้าน บางคนป่วยเป็นมาลาเรีย บางคนท้องร่วง เราก็ไม่รู้จะช่วยเหลือพวกเขาอย่างไรเพราะถูกสั่งห้าม ผู้หญิงคนหนึ่งปวดท้องจะคลอดลูกก็ไปไหนไม่ได้ จนต้องตายทั้งแม่และลูก ชาวบ้านบางกลุ่มไปจอดเรืออยู่กลางแม่น้ำสาละวิน เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ข้ามมาฝั่งไทย เขากลัวไม่กล้าอยู่ฝั่งกะเหรี่ยง เลยคิดว่าอยู่กลางแม่น้ำน่าจะปลอดภัยกว่า” หลากหลายข้อเท็จจริงที่ชาวท่าตาฝั่งเผชิญถูกถ่ายทอด
“คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำสาละวินอยู่กันแบบพี่น้อง พวกเราจำนวนมากก็เป็นเครือญาติกัน มีงานแต่งงานฝั่งโน้นเราก็ไปร่วม พอหมู่บ้านเรามีงานเขาก็มา ในยามปกติเราค้าขายกัน คนในหมู่บ้านเราหลายคนก็มีไร่สวนอยู่ฝั่งโน้น”
ความเป็นพี่น้องชาวชาวกะเหรี่ยงสาละวินทำให้ชาวบ้านท่าตาฝั่งถูกหวาดระแวงว่ามีใจฝั่งใฝ่ทหาร KNU ไม่ใช่แค่เพียงทหารพม่าเท่านั้นที่ไม่ไว้ใจ แม่แต่ทหารไทยบางหน่วยก็ยังรับความรู้สึกนั้นมาด้วย
หมู่บ้านท่าตาฝั่งตกอยู่ในสมรภูมิการสู้รบดุเดือดเนื่องจากบริเวณฝั่งตรงข้ามเป็นฐานที่มั่นสำคัญทางทหารของกองทัพพม่าชื่อว่า “ดา-กวิน”ซึ่งทหารกะเหรี่ยงต้องการผลักดันฐานทหารพม่าแห่งนี้ออกไปให้ได้จึงได้รุกคืบบุกยึด เมื่อทหารพม่าทำท่าเพลี่ยงพล้ำ กองทัพพม่าจึงส่งเครื่องบินรบ MiG-29 บุกโจมตีทหารกะเหรี่ยง
ขณะที่พื้นที่บ้านท่าตาฝั่งมีภูมิประเทศคล้ายกระเพาะหมูโดยแม่น้ำสาละวินไหลวกเข้าไปในรัฐกะเหรี่ยง ทำชาวบ้านท่าตาฝั่งมองเห็น MiG-29 บินอยู่เหนือหัวอยู่บ่อยครั้งเพราะต้องมาวกกลับเหนือน่านฟ้าบ้านท่าตาฝั่ง
“กระสุนปืน ค.ข้ามมาตกอยู่หลายรอบ พวกเราหวาดกลัวมาก แต่ก็ไม่เห็นทหารไทยทำอะไร เรามองเห็นเครื่องบินรบของพม่าบินวนอยู่บนฟ้า ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย เราให้ผู้หญิงและเด็กอพยพเข้าไปอยู่ในลำห้วย ใครกลัวมากไปไกลหน่อย ใครกลัวน้อยอยู่ใกล้ๆ ใครไม่กลัวอยู่เฝ้าบ้าน”กรรมกรหมู่บ้านรายหนึ่งย้อนถึงการรับมือในสถานการณ์วิกฤตของชุมชน
“มีแม่คนหนึ่งอุ้มลูกน้อยที่ยังเป็นทารกอยู่ พอได้ยินเสียงระเบิดลงเธอโยนเด็กทิ้งเลย เพราะเธอเป็นโรคขี้ตกใจ”ชาวบ้านเล่าในอารมณ์ขำขันได้ในค่ำคืนนี้ แต่ในบรรยากาศตอนนั้นช่างเต็มไปด้วยความเครียด “โชคดีเด็กไม่เป็นอะไรเพราะไปตกในร่อง”
“เด็กอีกคนหนึ่งถูกผลักดันให้กลับฝั่งกะเหรี่ยง แต่เขายังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเพราะฝั่งนั้นยังรบกันอยู่ เขาเลยว่ายน้ำกลับมา”ชาวบ้านอีกคนเล่าถึงวีรกรรมเล็กๆอันน่าทึ่งเพราะแม่น้ำสาละวินทั้งกว้างใหญ่และไหลเชี่ยว แต่หนุ่มน้อยนายหนึ่งกับว่ายน้ำข้ามได้

“พอเหตุการณ์เริ่มคลี่คลาย ท่านผู้ว่าราชการฯในขณะนั้นมาลงพื้นที่ เข้ามาสอบถามชาวบ้าน หลังจากนั้นสั่งการให้มีการทำหลุมหลบภัยของหมู่บ้าน ท่านบอกว่าจะของบประมาณ 10 ล้านบาท” หลายคนหัวเราะเหอะๆ เมื่อเล่าถึงเรื่องนี้
“เมื่อโครงการเสนอไป อุทยานฯก็บอกว่าต้องทำเรื่องเสนอกรมเพราะเป็นพื้นที่เขตอุทยานฯ ฝ่ายสาธารณะสุขก็กลัวเรื่องโควิด ท้ายสุดผู้ว่าฯย้ายไป ทุกอย่างเลยเงียบจนถึงปัจจุบัน”
ทุกวันนี้สถานการณ์สู้รบริมแม่น้ำสาละวินระหว่างกองทัพพม่าและทหารกะเหรี่ยงยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่สมรภูมิเคลื่อนลึกเข้าไปในแผ่นดินกะเหรี่ยง หรือตามพื้นที่ต่างๆตลอดแนวชายแดนตะวันตกของประเทศไทย เช่น หมู่บ้านวาเลย์ อ.พบพระ จ.ตาก ซึ่งกำลังเป็นประเด็นร้อนเมื่อเครื่องบิน MiG-29 ของทหารพม่าได้รุกล้ำเข้ามาแผ่นดินไทย และยิงรถกระบะของชาวบ้านไทย

ขณะที่ชาวบ้านนอนฟังเสียงระเบิดสม่ำเสมอและไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะเคลื่อนกลับมาแถวบ้านท่าตาฝั่งอีกวันใด
“ตอนนี้แต่ละบ้านสร้างหลุมหลบภัยกันเอง บางหลุมใหญ่เข้าไปอยู่ด้วยกันได้หลายครอบครัว บางหลุมเล็กอยู่ได้ไม่กี่คน ขณะนี้มีทั้งหมด 34 หลุม” ชาวบ้านเล่าถึงความพยายามช่วยตัวเอง ซึ่งดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ชายขอบ ในยามที่เกิดสถานการณ์ ผู้หลักผู้ใหญ่ของหน่วยงานราชการต่างๆ มักแห่กันลงพื้นที่และรับปากรับคำไว้มากมาย แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่าน คำมั่นสัญญาต่างๆ ก็ไหลไปกับสายน้ำสาละวิน
“เวลาทหารพม่ายิงปืนข้ามแดนมาหล่นใส่หมู่บ้าน เขาทำแล้วค่อยมาขอโทษ แต่พอเวลาเราจะยิงตอบโต้หรือยิงเตือนต้องขออนุญาตเขาก่อน” เสียงพูดลอยๆของใครคนหนึ่งในวงเรียกบรรยากาศเฮฮาอีกครั้ง
“คนที่หนีภัยเข้ามาก็ควรให้เขาหลบก่อน ไม่ใช่รีบผลักดันเขากลับทันที”ผู้นำหมู่บ้านอีกคนหนึ่งยังรู้สึกติดใจที่ถูกกีดกันน้ำใจที่เคยเผื่อแผ่ถึงกัน
บรรยากาศในความมืดบ้านท่าตาฝั่ง บางคืนมีเสียงปืนเสียงระเบิดให้ได้ยิน แม้มีความอุ่นใจในมิตรภาพและน้ำใจของชาวบ้านที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คนภายนอกจากส่วนก็สนับสนุนโดยไม่เปิดเผยตัว แต่เมื่อมองฝ่าความมืดจากหมู่บ้านออกไปกลับน่าวังเวงใจ เพราะเป็นความมืดที่เปล่าเปลี่ยว
ทุกวันนี้ชาวบ้านท่าตาฝั่งและชุมชนตลอดชายแดนตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ต่างเกิดคำถามขึ้นมากมาย
พวกเขายังไม่มีอะไรมาการันตีให้รู้สึกถึงความอุ่นใจ
—————-