
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2565 นาย คู โก เหร่ ผู้ประสานงานกลุ่มประชาสังคมคะเรนนี Karenni (KCSN) เปิดเผยถึงสถานการณ์ความรุนแรงในรัฐคะเรนนี ตรงข้าม อ.เมือง และ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ว่าจากการสำรวจล่าสุดของ KCSN พบว่ามีเหตุการณ์ปะทะและโจมตีประชาชนชาวคะเรนนีโดยทหารของกองทัพพม่า ในเมืองลอยก่อ และเดมอโส่ กองทัพพม่าได้ยิงปืน ค. ลงสู่เขตบ้านเรือนของประชาชน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 5 ราย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กเล็ก เหตุการณ์ตึงเครียดเกิดหลังจากเครื่องบินโดยสารสายการบินแห่งชาติพม่า Myanmar National Airlines (MNA) ถูกยิงและมีผู้โดยสารบาดเจ็บ 1 รายเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 ที่สนามบินลอยก่อ
“สถานการณ์ภาพรวมของรัฐคะเรนนี ในเวลานี้มีประชาชนพลัดถิ่น ใน 8 เมืองหลัก รวมทั้งสิ้น 202,115 คน มากที่สุดคือผู้พลัดถิ่นในเมืองเดมอโส่ 78,265 คน มีประชาชนเสียชีวิตจากความไม่สงบนับตั้งแต่รัฐประหาร รวม 279 คน ที่ร้ายแรงคือ การยิงปืน ค.ในพื้นที่ที่ประชาชนกำลังหลบภัย หรือในค่ายผู้พลัดถิ่น” ผู้ประสานงานคะเรนนีกล่าว
นางสาวเตมา ผู้ประสานงานกลุ่มบรรเทาทุกข์คะเรนนี CTER (Coordination Team for Emergency Relief in Karenni State) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวชายขอบว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีประชาชนในรัฐคะเรนนีหนีภัยความรุนแรงมาใกล้แนวชายแดนไทยมากยิ่งขึ้น ความอดอยากและความหิวโหยเกิดขึ้นในวงกว้าง ชาวบ้านไม่สามารถเพาะปลูกได้ ประชาชนแทบทั้งหมดต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในระยะเวลากว่า 2 ปี แต่ก็ยังไม่มีช่องทางในการเปิดให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ส่งข้ามพรมแดน ในช่วงเดือนที่ผ่านมาพบว่าก็มีผู้พลัดถิ่นพยายามเข้ามาใกล้ชายแดนจำนวนหนึ่งเนื่องจากสถานณการณ์ความขาดแคลน การส่งยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นจากชายแดนแทบเป็นไปไม่ได้ การปิดกั้นเส้นทางโดยทหารพม่าทำให้องค์กรสาธารณกุศลต่างชาติไม่สามารถส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นให้แก่ประชาขนที่กำลังเดือดร้อน และทราบมาว่าองค์กรผู้บริจาคจากต่างชาติอาจจะกำลังจะยุติความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ในเร็วๆ นี้
“ทหารพม่าโจมตี ยิงปีน ค. ลงสถานพยาบาลพยาบาลในหมู่บ้านและค่ายผู้พลัดถิ่นต่างๆ เป็นความเสี่ยงมากๆ เพราะมีทั้งสายลับปะปนมากับชาวบ้าน และทหารพม่าส่งโดรนเข้ามาบันทึกภาพและระบุพิกัด นอกจากนี้เมื่อมีการจับกุมกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ ก็มีการทรมานและรีดข้อมูล และมีเยาวชนถูกจับกุมตามเมืองต่างๆ เช่นลอยก่อ ซึ่งเป็นเมืองหลวง เวลานี้เหลือประชากรไม่ถึงครึ่ง ทั้งเมืองมีไฟฟ้าเพียงไม่กี่จุด ใครที่อยู่ก็ต้องทนอยู่ในบ้านท่ามกลางความมืดและความกลัว” นางสาวเตมา กล่าว
ขณะที่เพจ Friends without Borders ของมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน โพสต์ข้อมูลเมื่อเร็วๆ นี้ว่าท่ามกลางความรุนแรงและการสู้รบ ประชาชนชาวคะเรนนีพยายามจัดการเรียนการสอนให้กับเด็ก ๆ ในพื้นที่สงคราม การศึกษามักต้องสะดุดหยุดชะงักเพราะการโจมตีรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนักเรียน ครู ชาวบ้านก็ต้องหนี
เราหนีจากหมู่บ้านของเราไปยังค่ายพักผู้พลัดถิ่น (IDPs) ในป่า บางครั้งเมื่อการสู้รบสงบลงเราก็กลับไปหมู่บ้านและเด็ก ๆ ก็ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนเดิมต่อ เมื่อมีการโจมตีอีกก็หนีอีก และก็กลับมาอีก แต่ในบางแห่งพวกเราก็ต้องหนีจากค่ายหนึ่งไปตั้งค่ายใหม่อีกแห่งหนึ่ง และอีกแห่งหนึ่ง เป็นอยู่แบบนี้เพราะหาที่ปลอดภัยไม่ได้
“ตอนนี้คน 222,000 คน คือมากกว่าครึ่งของประชากรรัฐกะเรนนีกลายเป็นผู้พลัดถิ่นกันหมดแล้ว
สภาพสงครามในพม่าทุกวันนี้ไม่ได้มีแต่การสู้รบระหว่างคนกับคน แต่กองทัพพม่าใช้วิธีระดมยิงปืนใหญ่ไปทุกทิศทุกทางไม่รู้จบ พวกเขายิงเข้ามาแม้แต่ในชุมชน โบสถ์ วัด และค่าย ทั้ง ๆ ที่คนที่อยู่ในค่ายส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ผู้หญิง คนแก่ คนพิการ และคนที่สุขภาพไม่ค่อยดี”มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน ระบุ
มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดนระบุด้วยว่า ส่วนผู้ชายวัยหนุ่มจนถึงวัยกลางคนที่แข็งแรงนั้นจะต้องไปเป็นกองกำลังปกป้องตัวเอง คอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับชุมชนและครอบครัวของพวกเขาอยู่รอบนอก แม้แต่ครูผู้ชายก็ไปจับอาวุธปกป้องชุมชน พื้นที่รัฐคะเรนนีตอนนี้ส่วนใหญ่ถูกตัดขาดสัญญาณโทรศัพท์และไฟฟ้าหมด การรับรู้ข้อมูลข่าวสารให้ทันต่อเหตุการณ์เป็นไปได้ลำบากมาก ครูแต่ละคนพยายามชาร์จแบตโทรศัพท์กับโซลาร์เซลล์ แต่แผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่สำรองของบางแห่งก็เก่าเกินไป หรือเก็บไฟไม่ค่อยได้แล้ว นอกจากนี้พอแบ็ตเตอรี่โทรศัพท์เต็ม หากจะติดต่อกับใครพวกเขาก็ต้องเสี่ยงเดินเท้าขึ้นยอดเนินเพื่อไปรับสัญญาณอินเตอร์เน็ต การจะบอกเล่าเรื่องราวหรือขอความช่วยเหลือจากใครจึงไม่ใช่เรื่องง่าย





