
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 สำนักข่าว SHAN ของไทใหญ่รายงานว่า ผู้พลัดถิ่นภายในจากรัฐคะเรนนีที่ลี้ภัยมาอยู่ในเมืองป๋างโหลงเป็นเวลาเกือบ 2 ปี กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากผู้พลัดถิ่นเหล่านี้ไม่มีบัตรประจำตัวและทะเบียนบ้าน ทำให้ไม่สามารถเดินทางหรือออกไปหางานทำในเมืองอื่นได้ โดยผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้ทิ้งบ้านเกิดในรัฐคะเรนนีมาลี้ภัยอยู่ในรัฐฉาน หลังเกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองทัพพม่าและกองทัพประชาชนในรัฐคะเรนนี
ทั้งนี้ ในเมืองป๋างโหลง ทางใต้ของรัฐฉานเพียงแห่งเดียว มีผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนีมาอาศัยอยู่ราว 20,000 คน จำนวนคนเหล่านี้คิดเป็น 80 % ไม่มีเอกสารทั้งทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนพม่า
“ในตอนที่อพยพหนีมา เราไม่สามารถนำทรัพย์สินมาด้วย เราได้ซ่อนทรัพย์สินสำคัญส่วนตัวไว้ แต่เราไม่สามารถนำติดตัวมาด้วย ทุกคนต้องนำบัตรประจำตัวไปด้วยทุกครั้งยามเดินทาง เนื่องจากมีด่านตรวจมากมาย ในกรณีเช่นไปโรงพยาบาล จำเป็นต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนไปด้วย คุณจะเดินทางไม่ได้ถ้าไม่มีบัตรประจำตัว” หญิงคนหนึ่งกล่าว
มีรายงานว่า เรื่องนี้กำลังส่งผลกระทบต่อผู้ลี้ภัยในพื้นที่ เนื่องจากหากต้องการเดินทางไปหางานทำในต่างเมืองเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวก็ไม่สามารถทำได้
“ผู้พลัดถิ่นบางคนต้องการไปทำงานในเมืองอื่น ในกรณีดังกล่าวจำเป็นต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชน หากคุณไม่มีบัตร คุณก็ต้องแสดงทะเบียนบ้านเป็นหลักฐาน ผู้ที่ไม่มีทั้งสองอย่างอยู่ในภาวะที่ประสบปัญหาครั้งใหญ่”ชาวบ้านกล่าว
ทั้งนี้ ถนนปยี่ดอว์ซู่ ซึ่งเป็นถนนจากเมืองป๋างโหลงและเมืองตองจี นั้นมีด่านตรวจอยู่ด้วยกัน 3 แห่ง และมีการเรียกตรวจบัตรประจำตัวของผู้ที่สัญจรไปมาบนถนนสายนี้
ขณะที่ผู้พลัดถิ่นภายในสงครามที่มาอาศัยอยู่ในเมืองป๋างโหลงนั้นมาจากในหลายพื้นที่ของรัฐคะเรนนี เช่นมาจากเมืองปาย เมืองเดโมโส่ เมืองเต่าหง่วย เมืองเป่โข่ง เมืองหล่วงพอเป็นต้น ผู้พลัดถิ่นจากสงครามเหล่านี้กำลังต้องการความช่วยเหลือด้านอาหาร ยารักษาโรคและเครื่องนุ่งห่มกันหนาว
อีกด้านหนึ่งสถานการณ์ในรัฐฉาน เครื่องบินรบของกองทัพพม่าจำนวน 6 ลำและทหารภาคพื้นดินได้เข้าโจมตีฐานที่มั่นของกองกำลังปะหล่อง หรือดาระอั้ง TNLA ในเมืองน้ำสั่น ทางเหนือของรัฐฉาน ทำให้บ้านเรือนของชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายหรือมีประชาชนจำนวนเท่าไหร่อพยพออกจากพื้นที้หลังเกิดเหตุสงคราม แต่มีรายงานว่า ชาวบ้านในเมืองน้ำสั่นส่วนใหญ่อพยพไปยังเมืองล่าเสี้ยว เมืองใหญ่อันดับสองของรัฐฉาน และเมืองน้ำตู้