โดย หมอกเต่หว่า
“ก่อนที่ทหารจะยึดอำนาจ เรามีสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ แต่สิทธิเหล่านั้นได้หายไปหมด หลังทหารพม่ายึดอำนาจ บ้านของเราถูกเผาถึง 2 ครั้ง ในตอนแรก เรากลับมาสร้างบ้านของเราขึ้นมาใหม่ แต่ได้อาศัยนอนแค่คืนเดียว ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาเผาบ้านของเราเป็นครั้งที่สอง
“ตอนนี้เราพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือชีวิตของเราด้วยซ้ำ ไม่ว่าพวกเขาจะเผาบ้านเรากี่ครั้ง? ยิ่งมีแรงจูงใจมากขึ้นในการสนับสนุนการปฏิวัติ ปล่อยให้พวกเขา [ทหารพม่า] ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาควรเตรียมรับความทุกข์เมื่อถึงคราวของพวกเขา แม้จะประสบความยากลำบาก สิ่งสำคัญคือการประสบความสำเร็จในการปฏิวัติ เราเชื่อมั่นว่าการปฏิวัติของเราต้องสำเร็จ” เอเมียว วัย 41 ปี ชาวเมืองสะกาย กล่าวกับสำนักข่าว Irrawaddy
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ครบรอบ 2 ปี การรัฐประหารในพม่า ภายใต้การนำของพลเอกมินอ่องหลาย ผู้นำเผด็จการทหารคนใหม่ ที่ชื่อของเขากลายเป็นที่เกลียดชังไปทั่วพม่า นับตั้งแต่เขาทำรัฐประหาร บ้านเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ที่มืดมน ในด้านการเมืองนั้น ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยหลายพันคนถูกกวาดล้างจับกุม หลายคนถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลานานไม่เว้นแม้แต่นางอองซาน ซูจี อดีตผู้นำประเทศ
นักเคลื่อนไหวจำนวน 4 คน ถูกตัดสินประหารชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว และอีก 300 ชีวิตที่ต้องเสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัวและสอบปากคำในคุก สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่า (AAPP) รายงานเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 ที่ผ่านมาว่า จนถึงขณะนี้ ยังมีนักโทษการเมืองอีก 13,763 คน ที่ยังคงถูกกุมขัง ในจำนวนผู้ที่ถูกกุมขังนี้ยังรวมถึงรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาล NLD นักเขียน ผู้นำนักศึกษาและพระสงฆ์เป็นต้น รวมอยู่ด้วย
ขณะที่ล่าสุด กองทัพพม่าประกาศเตรียมที่จะจัดตั้งการเลือกตั้งภายในปีนี้ พร้อมทั้งได้ออกกฎหมายเลือกตั้งใหม่ ซึ่งกำหนดให้พรรคการเมืองต่างๆจะต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 100,000 คน ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ลงทะเบียน และจะต้องมีสำนักงานอย่างน้อย 150 แห่งจากทั้งหมด 330 เมืองของพม่าภายในเวลา 6 เดือน รวมทั้งจะต้องฝากเงินจำนวน 100 ล้านจั้ตกับธนาคารของรัฐ และพรรคการเมืองใดไม่สามารถจดทะเบียนภายใน 60 วันก็จะต้องถูกยุบพรรค
จายเล็ก เลขาธิการทั่วไปของพรรคหัวเสือ (SNLD) ของไทใหญ่มองว่า กฎหมายฉบับนี้ออกมาสำหรับพรรคการเมืองใหญ่และเอื้อให้พรรค USDP ซึ่งมีทหารหนุนหลังสามารถเข้ามามีบทบาททางการเมือง และเป็นกฎหมายที่กีดกันไม่ให้พรรคการเมืองชาติพันธุ์ลงแข่งขันได้ในระดับชาติ
ในด้านเศรษฐกิจนั้น ก่อนหน้าจะเกิดการรัฐประหาร เศรษฐกิจของพม่าก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด – 19 และเลวร้ายมากยิ่งขึ้นหลังเกิดรัฐประหาร บริษัทต่างชาติได้ถอนตัวออกไปและการลงทุนจากต่างประเทศลดลง การลงทุนตามแผนขนาดใหญ่ต้องหยุดชะงัก เช่นเดียวกัน เงินกู้ระหว่างประเทศถูกระงับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ และค่าครองชีพรวมถึงค่าอาหาร ค่าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
สำนักข่าว Irrawaddy รายงานว่า เงินออมในประเทศไหลออกนอกประเทศอย่างรวดเร็วเนื่องจากความไม่มั่นคงและภาวะเงินเฟ้อ เจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ในพม่าโยกย้ายเงินของตัวเองไปยังธนาคารที่ปลอดภัยในประเทศต่างๆ เช่นเดียวกับทรัพยากรมนุษย์ แรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจของพม่าก็หลั่งไหลเดินทางออกนอกประเทศ และไทยก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดฮิต
“สภาพความเป็นอยู่และรายได้ของเราตอนนี้แตกต่างจากเมื่อ 2 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 600 ถึง 800 จั้ต (ราว 9 บาท – 13 บาท ) ต่อลิตรในปี 2563 ภายใต้รัฐบาลพรรค NLD รายได้ต่อวันของผมอยู่ที่ประมาณ 15,000 จั๊ต (235 บาท) หักค่าเชื้อเพลิงและค่าเช่ารถ เราสามารถประหยัดเงินและดำเนินชีวิตได้ ไม่ได้ดิ้นรนในตอนนั้น
“แต่ตอนนี้รายได้ต่อวันของผมแค่ 5,000 จ๊าต (78 บาท) เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า อีกทั้งราคาสินค้าแพงขึ้น แปลว่ารายได้ของเราไม่พอใช้ ทั้งๆ ที่ผมและภรรยาต่างก็ทำงาน เรากำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้กินอย่างเพียงพอทุกวัน และกังวลเรื่องความปลอดภัยของเราเนื่องจากอัตราการเกิดอาชญากรรมพุ่งสูงขึ้นในย่างกุ้ง คนขับแท็กซี่อย่างเราๆ อยากให้บ้านเมืองเราสงบสุข ผมแค่ต้องการรัฐบาลที่เห็นคุณค่าและให้โอกาสกับประชาชน” นายมิ้นอ่อง อาชีพคนขับแท็กซีวัย 30 ปี ในย่างกุ้ง กล่าว
ขณะที่สถานการณ์สู้รบยังคงเกิดขึ้นดุเดือดในรัฐกะเหรี่ยง รัฐคะเรนนี รัฐมอญ รัฐคะฉิ่น รัฐชิน เขตสะกาย และเขตมะกวย ตั้งแต่เกิดรัฐประหารมีการปะทะกันระหว่างกองทัพพม่าและกลุ่มต่างๆมากกว่า 8,000 ครั้ง นั่นคือการปะทะกันโดยเฉลี่ย 11 ครั้งต่อวัน ทหารพม่าได้ตอบโต้ด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนของตัวเองทุกรูปแบบ ทั้งการฆ่าสังหาร ทรมานทำร้ายร่างกายในระหว่างสอบสวน และการจับกุมตามอำเภอใจ ทหารพม่าได้เผาทำลายอาคารบ้านเรือนมากกว่า 40,000 แห่ง ซึ่งรวมทั้งโรงเรียน ศาสนาสถาน สถานที่พยาบาล และบ้านเรือนของชาวบ้าน
สื่อพม่ารายงานว่า ทหารพม่าสูญเสียทุกวันและกำลังเหนื่อยล้ากับการสู้รบกับกลุ่มต่างๆทั่วประเทศ กองทัพพม่าไม่เพียงต้องต่อสู้กับกลุ่มชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ยังต้องรบกับกองทัพเกิดใหม่อย่างกองทัพประชาชน PDF ซึ่งเป็นสายเลือดชาวพม่าด้วยกันเอง ทหารพม่าไม่สามารถส่งกำลังเสริมได้เมื่อฐานทัพถูกโจมตี แต่กลับพึ่งพาปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ
มีรายงานว่า รัฐบาล NUG สามารถรวบรวมจัดตั้งกองทัพ ได้ 300 กองพันและยังมีพันธมิตรที่เป็น PDF ท้องถิ่น อีก 400 กองพัน แต่ละกองพันนั้นมีกำลังพลอยู่ราว 200 นาย คาดการณ์กันว่า รัฐบาล NUG มีกำลังพลอยู่ประมาณ 60,000 นาย กองทัพ PDF นั้นได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างๆและร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ และเป้าหมายคือการปฏิวัติจะต้องทำให้สำเร็จภายในปีนี้ ซึ่งคาดการณ์กันว่า การสู้รบจะยิ่งดุเดือดมากขึ้น
“ทุกวันนี้ เราอยู่ด้วยความหวาดกลัว แค่ได้ยินเสียงหมาเห่าตอนกลางคืนก็รู้สึกอกสั่นขวัญหาย ว่ามีใครถูกจับไหม เวลาออกไปข้างนอกก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย เวลาคุยโทรศัพท์ก็รู้สึกเหมือนมีคนแอบฟัง แม้เราถูกกดให้กลัว แต่เราจะไม่ยอมแพ้ เราจะสู้ สู้ให้ถึงที่สุด” หญิงชาวเมืองตองจีคนหนึ่งกล่าว
รัฐประหารโดยกองทัพพม่ากลายเป็นฝันร้ายของประชาชนในเขตแดนพม่ามาแล้ว 2 ปี ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าองคาพายพในสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมพังยับเยิน ประชาชนเดือดร้อนทุกหัวระแหง แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
แต่ทุกคนย่อมอยู่ด้วยความหวัง ซึ่งประชาชนในพม่าต่างก็หวังที่จะเห็นสิ่งดีๆเกิดขึ้นในบ้านเกิดเมืองนอนบ้าง แม้ยังไม่รู้ว่าความหวังและความฝันในวันนิ้แตกต่างกันหรือไม่
———–




