Search

ส่งต่อภารกิจสู่เจน’Y&Z ไฮไลท์วันหยุดเขื่อนโลก’66

ภาคภูมิ ป้องภัย เรื่อง/ภาพ

“เมื่อใดที่แม่น้ำสาละวินแห้งเหือดจนสามารถข้ามไปอีกฟากฝั่งได้ เมื่อนั้นคือวันสิ้นโลก” คำบอกเล่าจากความเชื่อมาแต่รุ่นบรรพบุรุษถูกเล่าขานอีกครั้งด้วยความกังวลใจของพี่น้องชาวท่าตาฝั่ง ต่อโครงการสร้างเขื่อนแม่น้ำสาละวิน

ความข้างต้นถูกถ่ายทอดเรื่อยมาจนถึง “เยาวชนเครือข่ายลุ่มน้ำสาละวิน” พวกเขาใช้โค้ทดังกล่าวมานำเสนอในกิจกรรม “วันหยุดเขื่อนโลก” (International Day of Actions for Rivers : against Dams)  14 มีนาคม 2566 ที่หมู่บ้านสบเมย ต.สบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

เหมือนจะย้ำเตือนตัวเองและผู้คนบนโลกใบนี้ว่า ภารกิจรักษาความบริสุทธิ์ของแม่น้ำสาละวินยังต้องดำเนินต่อไปอย่างเข้มแข็ง และเข้มข้น

น่าสังเกตตรงที่งานปีนี้ กลุ่มเยาวชนเครือข่ายลุ่มน้ำสาละวินในวัย 15-30 กว่า 50 คน นำโดย น.ส.ลาหมี่ทอ ดั่งแดนวิมาน และ น.ส.ทองแอ๊ะ น.ส.ตีเลอวา ตลอดจนเยาวชนจากหมู่บ้านต่างๆ ใน อ.สบเมย และ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ร่วมมีบทบาทมากขึ้น ทั้งการเตรียมกิจกรรม อุปกรณ์การแสดง บอร์ดข้อมูล ป้ายข้อความ และแถลงการณ์ในนามคนรุ่นใหม่

คนสองรุ่นพบปะกันก่อนงานวันหยุดเขื่อนโลก ที่บ้านสบเมย

น่าสนใจยิ่งขึ้นเมื่อบรรดาผู้อาวุโสเครือข่ายอนุรักษ์แม่น้ำไม่ว่าจะเป็น “ครูตี๋” นายนิวัติ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ นายกสมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน ฯลฯ ร่วมสนับสนุนความสำคัญของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งอยู่ใน “เจนเนอเรชั่นวาย-แซด” และผลักดันให้เขาและเธอสานต่องานอนุรักษ์แม่น้ำสาละวิน ให้เป็นแม่น้ำที่ยังไม่ถูกทำลายโดยเขื่อน

ตามกำหนดการกิจกรรมเช้าวัน “หยุดเขื่อนโลก” 14 มีนาคม บนหาดทรายตรงที่แม่น้ำเมยไหลมาบรรจบแม่น้ำสาละวินยังคงเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา อาทิ เซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิที่คุ้มครองแม่น้ำด้วยเนื้อหมูต้มและสุรา ลอยแพไม้ไผ่ติดป้าย “NO DAM” อ่านแถลงการณ์ ชูป้ายกู่ร้องคำขวัญ เป็นต้น

ด้วยความเหมือนเช่นที่ผ่านมานี่แหละทำให้ความน่าสนใจกลับไปอยู่ตรงบรรยากาศการพบปะกันระหว่างคนสองรุ่น เมื่อบ่ายวันที่ 13 มีนาคม ที่สนามหญ้าริมฝั่งสาละวิน เรารับรู้ถึงความรู้สึกร่วมได้อย่างชัดเจนและโดดเด่นเป็นพิเศษ

เริ่มจากครูตี๋กล่าวกับเยาวชนเครือข่ายลุ่มน้ำสาละวินว่า มาร่วมงานวันหยุดเขื่อนโลกที่นี่ทุกปี ถามว่าทำไมต้องมา ตอบว่ามาเพื่อตอกย้ำให้เห็นความเจ็บปวดของแม่น้ำโขงตลอด 25 ปี ตนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับแม่น้ำสาละวิน ถ้าเกิดเขื่อน สาละวินจะเดือดร้อน ไม่ปกติ 100% ฤดูกาลจะอยู่ในมือของรัฐ และนายทุน

“ครูตี๋” นิวัฒน์ ร้อยแก้ว

ครูตี๋กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้สาละวินยังมีความหวัง เพราะรู้แล้วว่าแม่น้ำโขงเจ็บปวดมา 25 ปี แม่น้ำโขงป่วยครึ่งตัว ส่วนสาละวินยังมีโอกาสรอด ดังนั้นอย่าให้สาละวินหลุดจากอ้อมอกของพี่น้องเยาวชนคนรุ่นใหม่เหมือนแม่น้ำโขง อยากให้มีแม่น้ำสายหนึ่งที่ยังบริสุทธิ์ ให้มนุษย์บนโลกนี้ได้เห็นว่า แม่น้ำจริงๆนั้นเป็นอย่างไร

“ผมไม่หวังแล้วกับคนแก่ เพราะคิดเหมือนเดิมที่จ้องแต่ทำลาย คนพวกนี้เกิดมาบนโลก แต่มองไม่เห็นโลก เมื่อสาละวินอยู่ในหัวใจของผมเหมือนพี่น้องเยาวชนคนรุ่นใหม่สาละวิน ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องยืนหยัดปกป้องแม่น้ำสายนี้ไว้ให้ได้ ตอนนี้มีหวังแล้ว เพราะเยาวชนคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาปกป้องสาละวิน มีคนถามว่าครูตี๋ยังมีความหวังกับแม่น้ำโขงอยู่หรือ ผมตอบว่ายังมี เพราะเราเห็นวิธีคิดของเด็ก ดังนั้นเราต้องรีบมอบเรื่องสังคมสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในมือของเยาวชนโดยเร็วที่สุด”ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของกล่าวเสมือนส่งภารกิจอันหนักอึ้งให้คนรุ่นใหม่สานต่อในอนาคต

“น้องส้ม” ลาหมี่ทอ

ทางด้าน “น้องส้ม” ลาหมี่ทอ เยาวชนจากหมู่บ้านท่าตาฝั่ง อ.แม่สะเรียง เป็นตัวแทนเพื่อนๆ อ่านแถลงการณ์กลางวงสนทนา ระบุถึงแนวคิดประสานความร่วมมือกับเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งฝั่งเมียร์มา และเยาวชนทุกลุ่มน้ำในภาคเหนือ เพื่อสานต่อภารกิจคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย

เธอยังแถลงถึงความมั่นใจในพลังการต่อสู้ของชุมชน รู้สึกภูมิใจในพลังของตนเองและเพื่อนๆ พร้อมกับเชื่อมั่นว่าคน Gen Y และ Z นั้น มีพลังบางอย่างที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศได้ เป็นพลังที่ผู้ใหญ่ และรัฐจะต้องรับฟัง

“พวกคุณจะสร้างเขื่อน ทั้งที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศน์ ชุมชน และวิถีชีวิต พวกคุณสามารถรับผิดชอบชีวิตของพวกหนูได้หรือไม่ ได้อย่างไร คุณต้องฟังความคิดของพวกเรา ต้องเคารพสิทธิเสียงของเรา ไม่ใช่มองข้ามหรือปิดกั้น”ลาหมี่ทอกล่าว

เยาวชนคนรุ่นใหม่แสดงพลังในกิจกรรมวันหยุดเขื่อนโลก ริมแม่น้ำสาละวิน

ทางด้านนางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เปิดเผยในวงสนทนาว่า ปลายเดือนมีนาคมนี้ กสม.จะสรุปผลการพิจารณาคำร้องของประชาชน 3 อำเภอ (สบเมย, ออมก๋อย, ฮอด)ใน จ.แม่ฮ่องสอนว่า “โครงการอุโมงค์ผันน้ำยวม”ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำสาละวินนั้น มีกระบวนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)ที่ละเมิดสิทธิชุมชน และสิทธิมนุษยชนหรือไม่ อย่างไร “น่าจะเป็นข่าวดี”กสม.กล่าวเป็นนัย

เมื่อพูดถึงโครงการอุโมงค์ผันน้ำยวมแล้ว ต้องขอย้อนไป 1 วันก่อนวันหยุดเขื่อนโลก เยาวชนคนรุ่นใหม่ ต.แม่สวด อ.สบเมย ได้แสดงบทบาทที่ชัดเจนเช่นเดียวกับเยาวชนสาละวิน ในกิจกรรมร่วมคัดค้านโครงการ จัดขึ้น ณ ลานจุดชมวิวแม่น้ำ 2 สี หมู่บ้านแม่เงา ต.แม่สวด สอดรับกับคณะสื่อมวลชนหลายแขนงที่มาร่วมงานวันหยุดเขื่อนโลกพอดี

คนรุ่นใหม่บ้านแม่เงามีบทบาทสำคัญในกิจกรรมวันหยุดเขื่อนโลก

ภาพที่เห็นคือพวกเธอร่วมกับผู้อาวุโสหมู่บ้านแม่เงาจัดทำบอร์ดรายงานผลกระทบต่อชุมชน พร้อมช่วยกันให้สัมภาษณ์ในรายละเอียดต่อสื่อหลายสำนักอย่างฉะฉาน มิได้เกรงกลัวผู้แทนกรมชลประทาน ตำรวจ ทหารที่มาสังเกตการณ์แม้แต่น้อย

“ตอนนี้พวกเราทำได้แค่คัดค้าน และอธิบายให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทราบว่า น้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ถ้าทางการยืนยันจะสร้างอุโมงค์ผันน้ำยวม พวกเราก็จะยกระดับการต่อสู้ขึ้นไปอีก เท่าที่เราจะทำได้มากที่สุด” ตัวแทนคนรุ่นใหม่ร่วมกันยืนยัน พร้อมชูกำปั้นสู้

นอกจากบทบาทของเยาวชนบ้านแม่เงาแล้ว ยังมีตัวแทนชาวบ้านหญิงชายผลัดกันนำเสนอรายละเอียดวิถีชีวิต การทำมาหากิน พื้นที่ทางจิตวิญญาณ ที่ดินทำกิน ระบบนิเวศน์ ฯลฯ ที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเส้นทางก่อแสร้างอุโมงค์ผันน้ำยวมผ่าน 3 อำเภอ มูลค่าแสนล้านบาท

ลอยแพไม้ไผ่ No Dam ลงสู่แม่น้ำ กระตุ้นให้คนสองฟากฝั่งสนับสนุน

นี่ไม่นับรวมสัตว์น้ำและพืชพรรณธรรมชาติหลากหลายชนิดที่มีให้จับให้เก็บกินตลอดปี บางชนิดมีมากพอส่งขายนำรายได้เข้าชุมชน

เกี่ยวกับตัวเลขรายได้นั้น ดร.มาลี สิทธิเกรียงไกร อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำเสนอในงานเดียวกันว่า จากการศึกษาโดยละเอียด พบว่า รายได้จากพืชผลการเกษตรลุ่มน้ำยวม น้ำเงา โดยเฉพาะหัวบุ และถั่วเหลืองนั้นสูงมาก เฉลี่ยปีละ 8 ล้านบาท ไม่ใช่ 2.9 ล้านบาทตามข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ระบุไว้ในอีไอเอของกรมชลประทาน

เยาวชนบ้านแม่เงายืนยันยกระดับการต่อสู้ หากรัฐดึงดันสร้างอุโมงค์ผันน้ำยวม

ทว่า ผู้ที่เรียกเสียงปรบมือจากผู้ร่วมงานบ่อยครั้งกลับเป็นนายสิงคำ เรือนหอม ชาว ต.แม่สวด โดยเฉพาะประโยค “คนกรมชลฯไม่ได้ผูกขาดความรู้อยู่ฝ่ายเดียว ชาวบ้านเขาก็มีความรู้ ดังนั้นอย่าเอาความรู้มาข่มเหงรังแกชาวบ้าน การมีอุโมงค์ผันน้ำเท่ากับเปลี่ยนชีวิตพวกเรา”

ส่งท้ายวันหยุดเขื่อนโลก 14 มีนาคม 2566 ดูเหมือนงานนี้ พิธีกรรมไม่ใช่จุดเด่นที่สุดเสียแล้ว แต่เป็นบรรยากาศการส่งมอบ “พันธะสัญญา” จากคนสูงวัยยุค Baby Boom ถึงคนรุ่น Y Z เพื่อสานต่อภารกิจรักษาความบริสุทธิ์ให้แม่น้ำสาละวินต่อไป

เพื่ออนาคตของพวกเขาเอง และเพื่อโลกใบนี้

On Key

Related Posts