โดย ภาสกร จำลองราช

ตอนนี้ลูกคนโตของบิลลี่ (พอละจี รักจงเจริญ) กับมึนอ (พิณนภา พฤกษาพรรณ) เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนอีก 4 คนกำลังเรียนอยู่ระดับมัธยม บางคนมีผู้อุปการะให้ทุนการศึกษา บางคนยังอยู่กับแม่ ที่บ้านป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
จากเด็กน้อย 5 คนที่ต้องคอยคลอเคลียรอบตักแม่ในวันที่พ่อหายไปเมื่อ 9 ปีก่อน กลายเป็นวัยรุ่นที่มุ่งหน้าศึกษาตามความถนัดของตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกๆ ของบิลลี่ยังคงปฏิบัติอยู่ทุกๆ ปีในวันที่ 17 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่พ่อของพวกเขาถูกอุ้มหายตัวจากบริเวณด่านเขามะเร็ว ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี คือการชูป้ายที่เขียนว่า “ที่นี่มีคนหาย”
หลายปีที่ผ่านมา มึนอและครอบครัวพยายามตามหาความเป็นธรรมให้กับบิลลี่ หลังจากที่เขาออกมาต่อสู้เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านบางกลอยที่ถูกบังคับย้ายออกจากหมู่บ้านบางกลอยใจแผ่นดิน มาอยู่ที่แปลงจัดสรรที่บ้านบางกลอยโป่งลึกซึ่งอยู่ด้านล่างของป่าใหญ่
บ้านบางกลอยใจแผ่นดิน เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงดั้งเดิมอายุนับร้อยปี มีการขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทยอย่างถูกต้อง แต่ภายหลังจากการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเมื่อปี 2524 และมีแผนย้ายชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ออกมาอยู่ข้างนอก
ปี 2539 อดีตหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน ได้โน้มน้าวให้ชาวบ้านบางกลอยใจแผ่นดิน ซึ่งนำโดยปู่คออี้ มีมิ ย้ายลงมาอยู่ที่บ้านบางกลอยโป่งลึก โดยสัญญาว่าจะสรรที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 7 ไร่ แต่สุดท้ายชาวบ้านไม่สามารถอยู่ได้เพราะอุทยานฯไม่ได้หาที่ดินทำกินให้ตามสัญญา ขณะที่ที่ดินโดยรอบขาดความอุดมสมบูรณ์และไม่เพียงพอสำหรับการทำมาหากิน ปู่คออี้และชาวบ้านบางกลอยจึงได้กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านเดิม
ปี 2553-2554 อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ประกาศแผน “ยุทธการตะนาวศรี” เพื่อกดดันให้ชาวบางกลอยใจแผ่นดินออกจากพื้นที่โดยอ้างเรื่องกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ การลักลอบล่าสัตว์ป่าตลอดจนเป็นแหล่งยาเสพติด มีการสนธิกำลังของหลายหน่วยงานทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือนในปี 2554 เข้าไปเผาทำลายยุ้งฉาง บ้านเรือน พร้อมทั้งยึดเครื่องมือทำมาหากินของชาวบางกลอย เช่น มีด จอบ โดยอ้างว่าคืออาวุธ
นับตั้งแต่วันนั้น หมู่บ้านบางกลอยในแผ่นดิน ได้ถูกลบชื่อจากสารบบของราชการไทย ขณะที่ชาวบ้านต่างหนีกระจัดกระจาย โดยกลุ่มใหญ่มาอยู่ที่บ้านบางกลอยโป่งลึก บางส่วนหนีไปอยู่ด้านจังหวัดราชบุรี
บิลลี่ ในฐานะชาวบางกลอยได้พยายามต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง เขาเป็นข้อต่อสำคัญระหว่างชาวบ้านกะเหรี่ยงที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้กับสังคมภายนอก แต่ในวันที่ 17 เมษายน 2557 เขาได้ถูกอุ้มหายระหว่างขับมอเตอร์ไซกลับไปหาครอบครัว โดยมีคนพบว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จับกุม หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย
“เรายังไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไรเลย เรื่องที่ดินทำกินที่บิลลี่ทำมาก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม” มึนอ สะท้อนผลของการแสวงหาความเป็นธรรมให้กับอดีตสามีและชาวบ้านบางกลอยตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
มึนอและลูกๆ ได้ตระเวนเดินสายไปยังหน่วยงานราชการและกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเวทีเสวนาต่างๆ แต่การอำนวยความเป็นธรรมกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนเธอเองเกือบสิ้นหวังกระทั่งเดือนกันยายน 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ได้พบชิ้นส่วนกะโหลกศรีษะบิลลี่ในถังน้ำมันที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน และได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญทำให้การสืบสวนสอบสวนคดีมีความคืบหน้า จนกระทั่งในปี 2565 อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพรรคพวกรวม 4 คนใน 4 ข้อหาและจะมีการไตร่สวนพยานครั้งแรกในวันที่ 24 เมษายน 2566 โดยมึนอ และนางโพเราะจีมารดาของบิลลี่ จะไปให้ปากคำ
“รู้สึกว่าคนที่ทำดีเหมือนไม่มีที่ยืน แต่คนทำไม่ดีกลับมีที่ยืน หนูดูข่าว เห็นแต่เขาได้ยศได้ตำแหน่งเพิ่ม ยิ่งเป็นการกดดันให้พวกเราชาวบ้านตัวเล็กลงๆ และกลัวจนไม่กล้าทำอะไร” แม้มึนอยังมีความหวังในกระบวนการยุติธรรม แต่น้ำเสียงของเธอดูจะแผ่วเบา “ก็เผื่อใจไว้ 50% กลัวผิดหวัง”
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และนักกฎหมายซึ่งติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น มองว่า การเยียวยาชาวบางกลอยเป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้มีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษาระบุว่า หมู่บ้านบางกลอยเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมและศาลมีคำสั่งให้เยียวยาชาวบ้าน 6 หลังตามที่ฟ้อง แต่ยุทธการตะนาวศรีได้เผาบ้านเรือนชาวบ้านไปนับร้อยหลัง ชาวบ้านที่เหลือกลับยังไม่ได้รับการเยียวยาใดๆ ทั้งๆ ที่เป็นพฤติกรรมเดียวกัน

“จริงๆ แล้วควรให้ชาวบ้านกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม เพราะอุทยานไม่มีอำนาจย้ายเขาตั้งแต่ต้น แถมตามกฎหมายอุทยานฯ 2562 ในมาตรา 64 เขียนชัดเจนให้กรมอุทยานฯ ต้องสำรวจชาวบ้านที่อยู่ในป่า แต่อุทยานฯก็ไม่ทำ ถือว่าทำหน้าที่ไม่ครบถ้วนหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
มุมมองของนายสุรพงษ์แตกต่างไปจากนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย ที่ระบุว่า การเยียวยาชาวบางกลอยมีความคืบหน้าไปมาก ทำให้ขณะนี้สถานการณ์ของชาวบ้านบางกลอยดีขึ้น
คณะกรรมการอิสระฯได้สรุปข้อเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาโดยแบ่งชาวบ้านบางกลอยออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มแรกที่แสดงความประสงค์ไม่ย้ายกลับป่าใหญ่ ให้รัฐบาลพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพ ส่วนชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเดินทางกลับไปอยู่ถิ่นฐานเดิมในป่าใหญ่ ให้รัฐบาลใช้แนวทางพัฒนาพื้นที่ต้นแบบส่งเสริมระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน
อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ได้ลงนามตามข้อเสนอดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเหลือเวลาอีกไม่นานรัฐบาลชุดนี้จะหมดวาระรักษาการ อาจทำความหวังของชาวบ้านดับลงอีกครั้ง หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลงนาม
กว่า 20 ปีที่ชาวกระเหรี่ยงบางกลอย ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เนื่องจากการใช้ความรุนแรงของหน่วยงานราชการ ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำ ทั้งขาดแคลนอาหารและระบบสาธารณสุข ที่สำคัญคือการขาดแคลนที่ดินทำกินเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำตามสัญญาพวกเขาต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด บางส่วนอพยพเข้าเมืองเพื่อรับจ้างขายแรงงาน บางส่วนหลบเลี่ยงกลับเข้าไปทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่เดิม แต่ก็ถูกจับกุมพร้อมกับการประโคมข่าวของผู้บริหารอุทยานฯว่า “มีพวกลักลอบทำลายป่าแก่งกระจาน”
แม้ว่าในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 และมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ที่ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง เขียนไว้ดูดีเพื่อให้ความคุ้มครองวิถีวัฒนธรรมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้งอกงามดูดีเหมือนตัวอักษรที่เขียนไว้
กรณีของชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยจึงเป็นที่จับตามองของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยและสังคมไทย เพราะนั่นหมายถึงแนวนโยบายแห่งรัฐไทยได้ก้าวพ้นการเลือกปฏิบัติและส่งเสริมคุณค่าและความความเท่าเทียมของมนุษย์ได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคการเมืองต่างๆ กำลังหาเสียงแย่งคะแนนนิยมจากประชาชน กรณีของชาวบ้านบางกลอยเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจของคะแนนนับล้านเสียงของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย







