
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 ณ หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร มีการจัดเวทีเสวนา “เส้นทาง ความหวัง ความยุติธรรม 9 ปี บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ” ภายในงานมีการจัดนิทรรศการ และแสดงดนตรีเพื่อหารายได้ช่วยเหลือชาวบางกลอย
พชร คำชำนาญ ผู้แทนกลุ่มภาคีเซฟบางกลอย กล่าวว่าชาวบางกลอยถูกกฎหมายป่าไม้ 3 ฉบับกดทับอยู่ เรื่องนี้มิได้เกิดเฉพาะที่บางกลอย แต่เป็นกรณีที่ถูกกระทำสูงสุด หน่วยงานเข้ามาจัดการชาวบ้านด้วยกฎหมาย กรณีที่บิลลี่ถูกฆ่าเกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติ ประชาชนไทยกว่า 50 ล้านคนไม่สามารถเข้าถึงที่ดินได้ หมายถึงว่าชาวบ้านอยู่ในพื้นที่ของรัฐ ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีชุมชนอาศัยอยู่กว่า 4,000 ชุมชน ชาวบ้านที่บางกลอยไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน โรงเรียน สาธารณสุข และรายได้ ที่สำคัญคือไม่มีความมั่นคงทางที่ดิน ยุทธการตะนาวศรีในปี 2554 เป็นการใช้กำลังกับชาวบ้าน มองว่าเป็นชนกลุ่มน้อยเป็นภัยความมั่นคง ถูกเผาไล่
พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ตัวแทนครอบครัวบิลลี่ กล่าวว่าเมื่อบิลลี่หายตัวไปตนก็ต้องออกมาเรียนรู้งานข้างนอก เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ไปแจ้งความที่สภ.แก่งกระจาน เจ้าหน้าที่ไม่รับแจ้งความ บอกให้หาข้อมูลมาเพิ่ม จึงบอกไปว่าตนเป็นเพียงชาวบ้าน เมื่อไปแจ้งความอีกครั้งก็บอกว่าบิลลี่ถูกจับตัวและปล่อยแล้ว ตนต้องเข้าห้องสอบสวนเล่าทุกอย่างตั้งแต่บิลลี่ออกจากบ้าน ในขณะที่บิลลี่หาย พี่น้องญาติของบิลลี่ต่างหวาดกลัว กลัวจะหายไปแบบบิลลี่ ตนเองหากจะไปบ้านโป่งลึกบางกลอยก็ไปไม่ได้เพราะต้องมีหนังสืออนุญาตให้เข้าไป บอกว่าเป็นญาติก็เข้าไม่ได้ หากจะเข้าต้องให้พี่ชายบิลลี่มารับที่ด่านเขามะเร็ว เหมือนกับว่าบ้านบางกลอยเป็นศูนย์อพยพที่ไม่สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ ตนออกไปตามหาบิลลี่ก็โดนคนชี้หน้าว่าไม่กลัวจะหายไปบ้างเหรอ มีนักข่าวตั้งคำถามในตอนที่มีการเสนอให้กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกว่ารู้สึกอย่างไร ตนให้สัมภาษณ์ว่าตราบใดที่บิลลี่ยังหายไปตนไม่เห็นด้วยกับการเสนอเป็นมรดกโลก เมื่อข่าวออกก็มีคนมาโจมตีมากมาย ตนเพียงหวังให้ผู้ทำผิดได้รับการลงโทษตามกฎหมาย

“ปัญหาที่บางกลอยคือ ที่ดินไม่เพียงพอ ไม่สามารถทำกินได้ ความจริงอยู่ข้างบน (ใจแผ่นดิน) ก็ดีอยู่แล้ว ย้ายลงมาก็เป็นเขตอุทยานเหมือนเดิม ตอนที่บิลลี่ยังอยู่ เขาบอกว่าจะกลับไปสร้างหมู่บ้านเล็กๆ ที่ใจแผ่นดิน จะมีโรงเรียนเล็กๆ ให้เด็กรู้หนังสือ มีหมอมีคนดูแลสุขภาพ บิลลี่บอกว่าจะกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านนั่นด้วย ดิฉันก็บอกว่าจะเป็นกำลังใจให้ เราอยากเห็นความยุติธรรมให้เท่าเทียมกันทุกคน อยากให้เห็นเราเป็นเพื่อนร่วมโลกมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ใช่มองเป็นคนต่างด้าว อยากให้อยู่ด้วยความรักและความเข้าใจ” มึนอ กล่าว
ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่าเมื่อชาวบ้านถูกอพยพลงมา อยู่ไม่ได้ และกลับขึ้นไปใจแผ่นดิน และมีการอพยพลงมาในยุทธการตะนาวศรี ก่อนหน้านี้ก็มีแต่ไม่มีข่าว เงินเยียวยาที่จ่ายให้ปู่คออี้ ต่อมาตกมาถึงลูกชาย คือนอแอะ ซึ่งปฏิเสธไม่รับ เพราะเห็นว่าไม่ใช้เงินของผู้กระทำ แต่เป็นเงินหลวง นอแอะไม่ต้องการ ทุกวันนี้ชาวบางกลอยอยู่ได้ด้วยเงินที่ลูกหลานออกไปทำงานข้างนอก ชาวบ้านอยู่ไม่ได้ แต่เชื่อว่าหากกลับไปอยู่ใจแผ่นดินจะสามารถจัดการชีวิตของตนเองได้ จึงกลับไปทำไร่ในปี 2564 ภาษากฎหมายเรียกว่าดื้อแพ่ง คือเชื่อในสิทธิของตนเอง แต่ก็มีการจับกุมชาวบ้านกว่า 80 คน โดยระบุว่ามีหมายจับ 30 คน ดำเนินคดี 22 รายมีการสอบสวนโดยไม่มีทนายความของตนเอง ล่ามก็เป็นล่ามของอุทยาน จนชาวบ้านที่ไม่รู้ภาษไทยต้องรับสารภาพ ในนี้มีเยาวชนด้วยแต่ถูกบันทึกว่าอายุ 23 ปี ก็ถูกพาเข้าเรือนจำทั้งหมดทั้งๆ ที่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย
“เราพยายามขอให้อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เท่าที่ทราบตอนนี้นายกฯ มีความเห็นให้ชาวบางกลอยกลับไปอยู่หมู่บ้านเดิม เรื่องนี้อัยการสามารถนำไปใช้เป็นเหตุผลได้”
อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้แทนศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กล่าวว่า เหตุสำคัญที่มีผลต่อการแก้ไขปัญหาบางกลอย คืออนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้ศึกษาจากเอกสารประวัติศาสตร์ทั้งที่เป็นของรัฐซึ่งแผนที่ทหารได้ระบุบ้านกร่างและใจแผ่นดิน เป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ และมีเอกสารการสำรวจของศูนย์สงเคราะห์ชาวเขา นอกจากนี้ยังมีประจักพยานในพื้นที่ทั่วไปหมด มีต้นไม้ที่เป็นพืชที่คนปลูกไว้และหลุมฝังศพ นอกจากนี้ยังมีเหรียญชาวเขา แสดงว่าชุมชนบางกลอยอยู่ก่อนอุทยานฯ ซึ่งในกฎหมายอุทยานเขียนไว้ว่า ที่ใดมีชุมชนให้อุทยานฯ เว้นไว้ก่อน
อภินันท์กล่าวว่า เมื่อมีคณะกรรมการอิสระฯ ได้นำผลของอนุกรรมการฯ มาพิจารณาและสำรวจคนที่ประสงค์กลับไปอยู่บางกลอยเดิมทันที 150 คน ส่วนอีกกว่า 700 คนยังมีข้อจำกัด เช่น ลูกกำลังเรียน ดังนั้นคณะกรรมการอิสระฯ จึงได้มีข้อเสนอและรายงานผลไปยังนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าชุมชนอยู่มาก่อน และเสนอ 2 แผนคือ 1. คนที่ยังไม่ต้องการกลับไป ให้พัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิต โดยเรื่องการใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องชีวิตในพื้นที่ เช่น เก็บน้ำผึ้ง

“ส่วนคนที่ต้องการกลับไปอยู่บางกลอยบน 150 คน ตอนนี้ชาวบ้านได้มีการจัดทำแผนไว้แล้ว เราขอให้คน 150 คน ร่วมกับกระทรวง ทส.จัดการทำวิจัย ที่ผ่านมาอุทยานฯ มักเชื่อว่าชาวบ้านอยู่แล้วบุกรุกป่า จากการศึกษาวิจัยการทำไร่หมุนเวียนไม่ได้ใช้พื้นที่พร้อมกัน ใช้เพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้น ไม่ได้ใช้พื้นที่ผืนใหญ่ ชุมชนต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่ามีการจัดการได้ ขั้นต่อไปก็จะมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมารับทราบ เรื่องนี้เป็นความท้าทายว่าชุมชนได้มีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างไร”
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่าข้อพิพาทสำคัญคดีบิลลี่คือพบกะโหลกในน้ำที่ใกล้ที่ทำการอุทยานฯ และเป็นพื้นที่จำกัดที่มีแต่เจ้าหน้าที่รัฐเดินทางเข้าไปได้อิสระ หลักฐานชิ้นนี้พบหลังจากที่มึนอไปแจ้งความ 6 ปี ถือว่าเป็นความยากลำบาก จากวันนั้นถึงวันนี้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องยังเป็นส่วนสำคัญว่าจะทำให้ชาวบ้านเข้าถึงความยุติธรรมได้หรือไม่
พรเพ็ญกล่าวว่าสิ่งที่พวกเราทุกคนยืนยันว่าชาวกะเหรี่ยงจะไม่มีการนำกระดูกไปลอยอังคารและทิ้งน้ำเพราะน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญในวิถีชีวิต เขาต้องดื่มน้ำและกินปลา ดังนั้นจึงไม่มีการเอาบรรพบุรุษไปลอยน้ำ การต่อสู้ในคดี คือมีการพยายามที่จะทำให้คนหาย และทุกสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาหายไปด้วย สิ่งที่มีความยากลำบากมากในกระบวนการยุติธรรมคือ หลักการว่าจำเลยทุกคนคือผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสิน หลักการนี้ไม่ได้ใช้กับทุกคน แต่ถูกใช้อย่างจริงจังกับเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเรากำลังพูดถึงจำเลยทั้งสี่ พรุ่งนี้เราจะไปศาลตั้งแต่เช้า สามารถมาให้กำลังใจได้ หวังว่าจุดเริ่มต้นของบิลลี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของคดีถูกบังคับให้สูญหาย คดีที่สำคัญในลักษณะนี้มีรูปแบบที่คล้ายกันหลายบริบท เกิดการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น กรณีที่ลี้ภัยที่หายไปในประเทศเพื่อนบ้าน มีการมัดผูกด้วยผ้า ใช้ไสยศาสตร์ ทำให้ประชาชนกลัว สิ่งที่เกิดขึ้นกรณีบิลลี่คือเป็นคดีแรกที่มีการสอบสวนสืบสวนจนคลี่คลาย มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นรูปแบบอีกอย่าง คือการเข้าถึงความยุติธรรม หากผู้ต้องหาสามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่แรก คือตั้งแต่เผาทำลายบ้านของปู่คออี้ ตั้งแต่ปี 2554 ถ้าสังคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลที่ผ่านมา สามารถนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่แรก จะทำให้สิ่งต่างๆ ไม่เกิดขึ้น เช่น อ.ป๊อด ก็อาจไม่ถูกลอบสังหาร บิลลี่ก็จะไม่ถูกบังคับให้หายไป อัยการสูงสุดและดีเอสไอกำลังดำเนินการอยู่ แต่หน่วยงานต้นสังกัดยังเมินเฉยและปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล และยังมีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ หรืออาจจะกลายเป็นอธิบดีกรมอุทยานในอนาคต ผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐยังลอยนวล เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเสนอให้เป็นมรดกโลกของ UNESCO ที่เจ้าหน้าที่มีความคิดโบราณเต่าล้านปี คิดไปเองว่ายูเนสโกจะชอบ จึงยืนกรานในความคิดของตนเองคือ เผาทำลายและบังคับให้ชาวบ้านออกมาจากป่า จึงมีเรื่องเกิดขึ้นต่อเนื่องมา

“คดีในวันที่ 24 เป็นนัดแรก ซึ่งผู้กระทำก็ยังคงมีตำแหน่งสูงขึ้น อยากให้ติดตามคดีฆาตกรรมบิลลี่อย่างใกล้ชิด หากเราติดตามจะพบว่าการรายงานของสื่อมวลชนมีความลักลั่นในเรื่องข้อมูลและความไม่ชัดเจนในบทบาทของสื่อ จึงขอเรียกร้องสื่อทุกแขนง รายงานคดีฆาตกรรมบิลลี่อย่างตรงไปตรงมา มีทั้งหมด 17 นัด เริ่มวันแรกพรุ่งนี้ และจะอ่านคำพิพากษาในไม่นาน น่าจะภายในปีนี้” ทนายความกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงท้ายในเวทีเสวนาได้เชิญ โพเราะจี รักจงเจริญ แม่ของบิลลี่ ขึ้นเวที โดยโพเราะจี กล่าวว่าในวันนั้นบิลลี่เพียงจะออกไปส่งน้ำผึ้ง แม่อยากรู้ว่ น้ำผึ้งเพียง 38 ขวด ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ มาจับกุมทำร้ายบังคับให้สูญหาย ฆ่าลูกฉัน ลูกฉันไม่ได้ทำอะไรใครเลย หลังจากบิลลี่หายตัวไปชีวิตก็ลำบาก มีความเครียด บางครั้งเสียใจเกือบคิดสั้น ตอนนั้นเจ้าหน้าที่บอกว่าปล่อยลูกชายไปแล้ว แต่ทำไมไม่เห็น โกหกหรือไม่ อยากให้ผู้กระทำกับบิลลี่ได้รับการลงโทษ



