
พื้นที่กลางป่าสงวนแม่เมาะ จ.ลำปาง รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งคนเคยอาศัยอยู่ในป่าหากินเลี้ยงชีวิต
วิถีชาวกะเหรี่ยงทำไร่หมุนเวียนปลูกข้าวและพืชผักต่างๆ แล้วย้ายไปยังไร่ซากเดิมเพื่อให้ดินได้พักฟื้นสัก 2-3 ปี แล้วจึงจะกลับมาใช้เพาะปลูกใหม่อีกครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งมีทหารเข้ามาขอใช้ที่ป่าไม้นับหมื่นไร่เพื่อตั้ง “ค่ายฝึกการรบพิเศษประตูผา” จากปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสม์ ความขัดแย้งระหว่างทหารกับชาวบ้านก็ค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้น จากเข้าป่าที่ชาวบ้านเคยทำมาหากิน กลายเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน และลุกลามมาหลายปี
“เดี๋ยวนี้มีคอมมิวนิสม์หรือเปล่า” ชาวบ้านชุมชนบ้านห้วยตาด หมู่ 4 อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง คนหนึ่งตั้งคำถาม “เรื่องสร้างบ้านโดนตลอด” ชาวบ้านอีกรายให้ความเห็น เนื่องจากเป็นพื้นที่ในป่าส่วนมากปลูกไว้อยู่อาศัย แต่บางคนปลูกแล้วต้องการขาย เมื่อขายทางทหารก็เข้ามายึดพื้นที่ทันทีโดยอ้างว่าป่าสงวนไม่สามารถซื้อขายได้
“เรื่องขอบเขตที่ดินทำกินไม่ชัดเจน ผมว่าถ้ารังวัดชัดเจนก็ไม่ใครรุกอะไร ก็มีพื้นที่อื่นถูกรุกแล้วก็ปล่อย คราวนี้ชาวบ้านเห็นว่าทหารปล่อยเลยคิดว่าไม่เป็นไร ชาวบ้านเขาทำกินไม่ได้เข้าไปตัดไม้เอามาขาย ปีนี้เขาผ่อนผันให้เรา ถ้าเราไม่ลุกมาสู้ปีหน้าคาดว่าชาวบ้านจะเสียสิทธิในที่ดินทำกิน ตอนนี้อยากเรียกร้องให้ออกเอกสารอะไรก็ได้ จะโฉนด หรืออะไรก็ตาม แล้วกันเขตที่ดินให้ออกนอกพื้นที่ทหาร ใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ใช่ปล่อยให้คนทำไม้ พอปราบปรามไม่ได้แล้วหันมาจัดการที่ดินทำกินของชาวบ้านอย่างนี้” ชาวบ้านคนหนึ่งแนะนำ
โดยเฉพาะกรณีพิพาทล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทหารบังคับให้ชาวบ้าน 25 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่า 63 แปลง เซ็นชื่อแล้วนำเอกสารประจำตัวไปด้วย
“แจ้งข้อหาชาวบ้านความยุติธรรมไม่มี ทหารไม่รู้เรื่องจัดการทรัพยากร การใช้ตัดสินคดีในรูปแบบปัจจุบันไม่ได้ใช้หลักฐานพิสูจน์ มีปัญหาต้องไปดูว่าใครอยู่มาก่อน พื้นที่นี้ถูกใช้ทำกินเมื่อไหร่ ดูร่องรอยทำกินย้อนหลัง” ชาวบ้านชุมชนบ้านห้วยตาดอธิบาย
บนพื้นที่หมื่นกว่าไร่ในป่าสงวนแม่เมาะซึ่งทหารไม่ได้ใช้ประโยชน์และไม่มีการฝึกรบปราบปรามคอมมิวนิสม์ ทหารที่มาขอตั้งค่ายทีหลังกลับหันมาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้านแทน ทำให้ชาวบ้านก็ต้องการให้กันเขตที่ดินทำกินออกจากเขตทหาร
“ทหารก็เช่าที่จากป่าไม้ นโยบายผู้บังคับบัญชาเมื่อเปลี่ยนคน นโยบายก็เปลี่ยน จึงอยากให้รอนโยบายจากรัฐบาลใหม่ในเรื่องจัดการที่ดินทั้งระบบก่อน” ชาวบ้านกล่าว
นายพิชยา แซ่โฟ้ง อายุ 29 ปี หนึ่งในชาวบ้านที่ถูกทหารริบที่ดินทำกินเนื่องจากมีชาวบ้านบางคนที่มาทีหลังบุกรุกที่ป่าจำนวน 5 แปลง จนถูกเหมารวมว่ารุกที่กว่า 200 ไร่ เปิดเผยว่า ที่ดินที่ถูกยึดไปนี้พ่อแม่ใช้ปลูกข้าวโพดมานาน 10 กว่าปีแล้วและเป็นที่ดินดั้งเดิม
“ยึดไปตอนนี้ก็ไม่มีที่ทำกินเลยจากเดิมมี 12 ไร่ ทำกินกัน 3ครอบครัว ปลูกข้าวโพด พอทหารยึดที่ไปเหลือแค่ 2 งานบนดอย ซึ่งพ่อแม่มีที่ทำกินตรงนี้ที่เดียวถ้ายึดก็ไม่มีแล้ว จากที่เคยมีรายได้ปีละ 3-4หมื่นบาทยังไม่หักทุน” นายพิชยา กล่าว
ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ซึ่งกลุ่มชาวบ้านที่มาใหม่ไม่รู้ระเบียบทำการบุกรุกเข้าไปในป่าสงวนจนเป็นเหตุทำให้ทหารเหมารวมว่าชาวบ้านรุกป่ากว่า 200 ไร่และให้ยุติการทำไร่ก่อน จนกว่าผู้บัญชาการทหารบกจะมีหนังสือตอบกลับมาว่าจะให้ใช้แผนที่ในปี 2545 หรือ ปี 2562
“ทหารก็จะใช้แผนที่ที่ทหารทำ เราชาวบ้านก็มีแผนที่ของเราซึ่งครอบคลุมกว่า ตรงนี้ต้องมาคุยกันเพราะต่างฝ่ายต่างก็จะใช้แผนที่ของตัวเอง” ชาวบ้านชุมชนห้วยตาดสรุป
อย่างไรก็ตามชาวบ้านหมู่ 4 ชุมชนบ้านห้วยตาด เห็นตรงกันว่าความเข้มแข็งในการร่วมต่อสู้รักษาสิทธิในที่ดินทำกินหากยังคงเป็นอยู่อย่างนี้จะเสียเปรียบ เนื่องจากชาวบ้านไม่รู้เลยว่าเขตพื้นที่ตรงไหนสามารถเข้าไปทำกินได้บ้าง
ในขณะที่ทางทหารเองก็ไม่ได้มองว่าความเดือดร้อนของชาวบ้านคือเรื่องเร่งด่วน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ขั้วการเมืองใหม่อาจหันมามองเห็นความสำคัญในที่ดินทำกินมากกว่าการซื้ออาวุธ
บางทีชาวบ้านจำเป็นต้องชวนกันตะโกนดังๆ อีกสักครั้งให้ถึงหูฝ่ายการเมืองและผู้บัญชาการทหารบก