
พูดถึง “เมืองมะละแหม่ง (เมาะลำไย-เมาะลำเลิง) เมืองหลวงของรัฐมอญรามัญ” คนไทยไม่น้อยนึกถึงเรื่องราวความรักระหว่าง “เจ้าน้อย ศุขเกษม” เจ้าราชบุตรแห่งเชียงใหม่ กับ “มะเมียะ” สาวขายหมากชาวมะละแหม่ง เมื่อมาที่นี่ก็มักไปสักการะสถูปสีทองที่วัดไจ๊ตะหลั่น สถานที่ที่ทั้งสองมาสาบานรัก และเล่ากันว่าเธอมาบวชชีที่นี่จนวาระสุดท้าย
ทว่า… “คนมอญเมืองมะละแหม่ง โดยเฉพาะปัญญาชน ไม่มีใครรู้เรื่องตำนานรักข้ามชนชั้นเลยสักคน “
นั่นเพราะฝ่ายหญิงเป็นสามัญชน ไหนเลยจะมีใครบันทึกจดจำ ผิดกับสถานะของฝ่ายชาย ย่อมต้องมีผู้บันทึกเรื่องราวไว้จนเล่าสืบต่อมาเป็นนิยายรักรันทดซาบซึ้งกินใจ ถึงขนาดบริษัททัวร์ไทยใช้พล็อต “ตามรอยตำนานรัก” ดึงดูดคนมาที่นี่ปีละหลายหมื่น
มะละแหม่งคล้ายเมืองทวาย ทั้งวิถีชีวิต ผู้คน ตลอดจนภูมิทัศน์โดยรอบ ผู้คนคงการแต่งกายพื้นเมืองไว้เหนียวแน่น แฟชั่นกางเกงยีนต์และขาสั้นไม่อาจฝ่าเข้ามาได้
“ที่นี่มีอะไรให้สัมผัสมากมาย แม้ไม่โดดเด่นระดับไฮไลต์ แต่ตลอด 2 วันกับการนั่งเรือล่องแม่น้ำสาละวิน ดูวิถีชาวประมง ตระเวนชมวัด ดูโบสถ์คริสต์ยุคอาณานิคม ข้ามสะพานยาว 3 กิโลเมตรไปเที่ยวเมืองเมาะตะมะ มันก็หรูแล้ว”
กล่าวสำหรับ “เมืองเมาะตะมะ” ในความทรงจำของผมมาจากหนังสือเรียน “ราชาธิราช” ชายหนุ่มนาม “มะกะโท” บุตรพ่อค้าชาวมอญอยู่บ้านเกาะวาน เมืองเมาะตะมะ คุมสินค้ามาขายในกรุงสุโขทัย สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงเห็นความเฉลียวฉลาดจึงรับมาชุบเลี้ยงจนได้เป็นขุนวัง
ปัจจุบันเป็นเมืองเล็ก เงียบเหงา เพราะผู้คนและความเจริญถูกมะละแหม่งดูดไปหมด กลายเป็นแค่ทางผ่านไปเมืองหงสาวดีและย่างกุ้งเท่านั้น กระนั้นก็ดี ที่นี่มีทุ่งเจดีย์บนเนินเขาใหญ่น้อยให้เราไปสักการะ
มองจาก “ยอดเขาวัดออง เตด ที” เราเห็นทุ่งเจดีย์เรียงรายเป็นทิวแถวไปทั่วเมือง ทั้งหมดเป็นผลงานของหลวงพ่อ “จันทระ เอยาสาระ” เจ้าอาวาส เจ้าคณะเมืองเมาะตะมะ ผู้ผนึกรวมแรงศรัทธาชาวมอญทั่วปากน้ำสาละวิน

“ท่านนอนสงบนิ่งในอาคารมานาน 9 ปีหลังมรณภาพเมื่ออายุ 76 ปี 50 พรรษา ร่างไม่เน่าไม่เปื่อย ผมงอกเล็บยาวให้ลูกศิษย์ตัดเป็นระยะ ทั้งยังมีเรื่องปาฏิหาริย์เล่าต่อกันมากมาย”
กลับมาเมืองมะละแหม่งอีกครั้งก็อยากแนะนำ “Thai Food Only” ร้านอาหารทะเลรสชาติไทย ของสด ราคาถูก กุ้งแม่น้ำยาวเกือบคืบตัวละราว 50 บาท ปูทะเลเท่ากำมือตัวละไม่เกิน 80 บาท เป็นต้น เจ้าของมาทำงานเมืองไทยตั้งแต่หนุ่ม ครูพักลักจำเอามาฝึกปรุงอยู่หลายปี เมื่อรสชาติลงตัวจึงเปิดร้าน ลูกค้าแน่นทั้งวัน
อาหารทะเลสด-ถูก สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของปากน้ำสาละวินยันทะเลอันดามัน ที่ตลาดสดยามเช้า แม่ค้าวางขายกุ้งแม่น้ำ ปูทะเล ปลาใหญ่เกลื่อนไปหมด ผิดกับบ้านเรา คุณไม่มีวันเห็นกุ้งปูแบบนี้ในตลาดสดแน่นอน เว้นแต่ไปนั่งกินในร้านหรู สนนตัวละ 500-2,000 บาท
“มีเขื่อนใหญ่กั้นแม่น้ำสาละวิน 2-3 แห่งเมื่อไหร่ มะละแหม่งคงไม่ต่างจากเมืองเสียมราฐของกัมพูชา ที่นั่นบริโภคปลาใหญ่ในกระชังเป็นหลัก เพราะทุกวันนี้แทบไม่เหลือในโตนเลสาบอีกแล้ว”
จากเมาะตะมะ ผ่านท่าตอน พะโค (หงสาวดี) ปลายทางย่างกุ้ง สองข้างทางหลวง 2 เลน เรียงรายด้วยบ้านเรือนไม้พื้นถิ่นอยู่ริมถนน ด้านหลังเป็นสวน ถัดไปเป็นนาไกลสุดหูสุดตา คลาคล่ำด้วยคนหนุ่มสาวเฒ่าชรา เส้นทางนี้แทบไม่เห็นโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ เศรษฐกิจยังพึ่งพิงกสิกรรมเป็นหลัก
ตามรายทางมีเด็กชายหญิงเป็นกลุ่มๆ สะพายย่าม แบกจอบเสียม หิ้วคันเบ็ดไปหาอยู่หากินตามหัวไร่ปลายนา ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ตื่นเต้นสนุกสนาน
มาถึงย่างกุ้งเป็นครั้งที่สอง คราวนี้มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเอ็นจีโอ และสื่อพม่า เรื่องเขื่อนและการเมือง
“มาย่างกุ้งแล้วไม่เที่ยววัด เที่ยวเจดีย์ แล้วจะเที่ยวอะไร?”
ผมถามตัวเองขณะเดินเข้าวัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยีตอนเช้า ต่อสายด้วยวัดเจดีย์โบดาทาวน์ ปิดท้ายพลบค่ำที่เจดีย์ชเวดากอง
หรือเมืองย่างกุ้งไม่มีอะไรให้สัมผัสนอกเหนือจากนี้?
ผิดครับ…มารอบนี้ถือว่าคุ้มมาก เพราะพวกเรามีโอกาสขึ้นมาชมชเวดากองยามค่ำบนดาดฟ้าชั้น 11 ของโรงแรมยูซานา ห่างจากเจดีย์ราว 1.5 กิโลเมตร เท่านั้น
แสงสปอตไลต์ 500 วัตต์หลายสิบตัวส่องทองคำแท้ 1,100 กิโลกรัมรอบองค์เจดีย์ใหญ่ สะท้อนสว่างไสวไปทั่วครึ่งฟ้ายามรัตติกาลเหนือนครย่างกุ้ง
สีทองอร่ามฟ้าดั่งมนต์สะกดให้ต้องภวังค์ ขนาดลืมตายังสามารถจินตนาการว่าตัวเองอยู่บนวิมาน แลเห็นเนินพุทธภูมิ และชเวดากองทอดแสงทองส่องสว่างกลางนภา เจิดจ้าไปทั่วแดนสรวง
ละเลียดเวลาบนนั้นนานนับชั่วโมง มองอย่างไรก็ไม่อิ่ม ยิ่งมีลมฤดูหนาวของปลายมกราคม 2557 พัดมาอ่อนๆ ยิ่งไม่อยากลงไปจับเจ่าในห้องพัก
อย่าได้แปลกใจทำไมทหารพม่าจึงยึดครองรัฐกะเหรี่ยงได้แค่เมืองพื้นที่ราบและหมู่บ้านชายขอบรัฐกะเหรี่ยง
เทือกเขาสูงใหญ่สลับซับซ้อนและป่าดงดิบ คือ ปราการปกป้องดินแดนส่วนใหญ่เอาไว้ การรักษาป่าไม้คือการรักษาเผ่าพันธุ์เก่าแก่นี้ไว้ตราบนานเท่านาน
ถ้าพม่าจะบุกเข้ามามี 2 ทาง คือ 1.เดินฝ่าป่าดิบรกชัฏและกับระเบิดเข้ามา 2.ใช้รถอีแต๋น รถไถนา ม้า ล่อ ลา มอเตอร์ไซค์ขนกำลังและยุทโธปกรณ์ ฝ่ากระสุนเข้ามาตามเส้นทางลูกรังกว้าง 2 เมตร

กลับจากรัฐมอญและพม่ามาได้หนึ่งสัปดาห์ ผมเดินทางต่อไปร่วมงานฉลอง “ครบรอบ 65 ปีวันปฏิวัติกะเหรี่ยง” 31 มกราคม 2557″ ถือเป็นทริปสมบุกสมบันเอาเรื่อง
“พวกเราลงเรือที่ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ล่องแม่น้ำสาละวินย้อนขึ้นเหนือราว 4 ชั่วโมง ผ่านด่านทหารไทย 1 ด่าน ด่านทหารกะเหรี่ยง 2 ด่าน ป่าไม้ในเขตกะเหรี่ยงเขียวขจีต่างกับฝั่งไทย โดยเฉพาะป่าสัก มีปริมาณหนาแน่นตลอด 2 ฝั่ง ใบสักเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว มันช่วยแต้มแต่งภูเขาให้มี 3 สี เขียว เหลือง แดง ดูสวยงามแปลกตา”
ขึ้นฝั่งที่ด่านบ้านแมะนึงข่า จากนั้นนั่งรถคูโบต้าไปบนทางกว้าง 2 เมตร ลัดเลาะสันเขาสลับไหล่เขาน้อยใหญ่ มีลุ้นเบียดขอบเหวเป็นระยะ แต่ด้วยความชำนาญของพลขับ เราถึงบ้านดีปูนุ ฐานที่มั่นใหญ่ของกองพลน้อยที่ 5 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) ทันพลบค่ำพอดี รวมเวลาหวาดเสียว 5 ชั่วโมง
บ้านดีปูนุตั้งอยู่บนที่ราบเล็กๆ กลางหุบเขาใหญ่ มีแม่น้ำยูเซลีนไหลผ่าน เป็นชุมชนแบบวิถีชีวิตดั้งเดิม บ้านเรือนไม้มุงแฝกและใบสัก ไม่มีไฟฟ้า ใช้แรงวัวควายหมุนเครื่องคั้นอ้อยทำน้ำตาล บดข้าวทำแป้งด้วยโม่หิน ฯลฯ มีการเพาะปลูก หาของป่า เลี้ยงสัตว์ ค้าขาย และเงินช่วยเหลือจากพี่น้องในต่างแดน ประกอบกันเป็นเศรษฐกิจหล่อเลี้ยงชุมชน
ผมพบปะพูดคุยกับผู้นำกองทัพยันพลทหาร เดินสวนไปมากับทุกเพศทุกวัย ฟังน้ำเสียง มองด้วยสายตา และทักทายด้วยรอยยิ้ม รู้สึกชัดเจนว่าคนกะเหรี่ยงให้ความเป็นมิตรและไว้วางใจคนไทยมาก
“แน่นอน…มากกว่าคนพม่า ”
เดินทางผ่านพบ 3 รัฐ 3 ชาติพันธุ์ ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน และใต้ฟ้าเดียวกัน รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากภาษาและวัฒนธรรมเท่านั้น
เมื่อไหร่บรรดาผู้นำกองทัพยอมลดราวาศอกเรื่อง “อำนาจ ผลประโยชน์ และความคลั่งชาติ” ลงได้ พม่า รามัญ กะเหรี่ยงจะอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม มีแต่ความสงบสุข
บนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้ จะไม่มีคราบเลือดและหยาดน้ำตาอีกต่อไป
โดย ภาคภูมิ ป้องภัย
คอลัมน์ บันทึกเดินทาง
มติชน/22 กุมภาพันธ์ 2557