Credit Photo แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
ระหว่างวันที่ 27-30 สิงหาคม 2566 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) เปิดให้ชมนิทรรศการ “กลับสู่วันวาน…กลับมากินข้าวด้วยกันนะ” ณ Kinjai Contemporary Art gallery กทม.เนื่องในวันที่ระลึกถึงเหยื่อของการถูกบังคับสูญหายสากล (International Day of the Victims of Enforced Disappearances) ที่ตรงกับวันที่ 30 สิงหาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกร่วมกันรำลึกถึงเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกบังคับสูญหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ภาวะสงคราม การปราบปรามจากรัฐ หรือการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ทางด้านนักสิทธิมนุษยชนต่างร่วมกันผลักดันข้อเสนอแนะเร่งรัดต่อภาครัฐให้การคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยการถูกบังคับ
อังคณา นีละไพจิตร ตัวแทนกลุ่มญาติผู้ถูกบังคับสูญหายในประเทศไทย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะสมาชิกคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ (Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances – WGEID) กล่าวว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งคณะทำงานฯ ในปี 2523 คณะทำงานได้ส่งกรณีผู้ถูกบังคับสูญหายทั้งสิ้น 59,600 กรณีไปยัง 112 ประเทศ ซึ่งจำนวนผู้ถูกบังคับสูญหายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเชิงรุกและยังไม่ได้รับการชี้แจงหรือยุติอยู่ที่ 46,751 กรณี จาก 97 ประเทศ โดยในช่วงระยะเวลารายงานมีกรณีการบังคับสูญหาย 104 กรณีที่คณะทำงานสามารถคลี่คลายได้ อย่างไรก็ดีคณะทำงานฯ เชื่อว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ที่ผ่านมาคณะทำงานกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับกรณีความพยายามกดดัน การคุกคามหรือการข่มขู่ครอบครัว หรือต่อองค์กรที่ทำงานในนามของพวกเขา หรือพยายามให้พวกเขารวมถึงญาติถอนเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้หายสาบสูญ สำหรับประเทศไทย รายงานประจำปี 2565 ของคณะทำงานระบุจำนวนผู้ถูกบังคับสูญหายทั้งสิ้น 76 กรณีซึ่งสูงเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียน ต่อจากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
“มีผู้ถูกบังคับสูญหายหลายคนที่หายไปช่วงรัฐบาลเพื่อไทยที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็หวังว่ารัฐบาลจะมีความจริงใจในการเปิดเผยความจริง สืบสวนสอบสวนจนกว่าจะทราบชะตากรรมของผู้สูญหายทุกคน และรู้ตัวผู้กระทำผิดตามที่รับประกันไว้ใน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 อย่างน้อยที่สุดสำหรับครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหาย ทุกคนอยากรู้ว่าคนในครอบครัวยังมีชีวิตหรือไม่ ถ้ามีชีวิตอยู่เขาอยู่ที่ไหน หรือว่าถ้าเสียชีวิตไปแล้ว อย่างน้อยคืนศพให้พวกเขาก็ยังดี” อังคณากล่าว
ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงที่สุดอีกอย่างหนึ่งในสังคมนี้ คือเจ้าหน้าที่รัฐ “บังคับบุคคลให้สูญหาย” ประเด็นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนในครอบครัวผู้สูญหายเพียงอย่างเดียว แต่ส่งผลกระทบไปถึงภาพใหญ่ระดับประเทศคือการทำให้ผู้คนอยู่ในความหวาดกลัว และระแวงจากภัยคุกคามที่เกิดจากอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผ่านมาแอมเนสตี้ไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องการป้องกันการทรมานและถูกบังคับให้สูญหายในประเทศไทยเพียงประเทศเดียว แต่ได้ร่วมขับเคลื่อนป้องกันให้เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นในระดับโลก พบว่าประเทศที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง หรือมีแรงปะทะเรื่องขั้วอำนาจจะเกิดการบังคับให้สูญหายจำนวนมาก และอีกกลุ่มคนในสังคมที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษคือ ‘กลุ่มคนเปราะบาง’ ที่ปัจจุบันพบว่ามักถูกทรมาน ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไร้มนุษยธรรม และบางคนถูกอุ้มหายไปโดยไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งประเด็นนี้เป็นอีกข้อท้าทายที่จะต้องทำร่วมกับหลายภาคส่วนเพื่อช่วยกันป้องกัน ปราบปรามไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวถึงความก้าวหน้าของการผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ว่า ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ตื่นตัวในการใช้มาตรการป้องกันมากขึ้น เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็มีกฎระเบียบก่อนหน้า พ.ร.บ.นี้ ให้ตำรวจทุกคนต้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวและเสียงขณะจับกุมด้วยกล้อง Body Camera หรือ กล้องสังเกตการณ์ ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นทุกอำเภอ สำนักงานอัยการจังหวัดทุกจังหวัด ได้ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและรับแจ้งการจับกุม 24 ชั่วโมง มองว่าเป็นเรื่องที่ดีหากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐตระหนักถึงเรื่องนี้ในวงกว้างและเป็นหูเป็นตาให้ชาวบ้านได้จริง จะไม่มีใครที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมแล้วหายไปเลยจากกระบวนการยุติธรรมและหายไปอย่างไม่ทราบชะตากรรมจากครอบครัวและคนที่เขารัก ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแต่ก็ยังพบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนมีพฤติกรรมผิดวินัย ออกนอกลู่นอกทางขณะปฏิบัติหน้าที่ และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเมื่อเกิดคดีทรมาน-อุ้มหายขึ้นมา ตรงนี้จึงอยากให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างชอบธรรม รวมถึงประชาชนสามารถเป็นอีกกระบอกเสียงที่สามารถร้องเรียนและช่วยยับยั้งป้องกันเหตุร้ายนี้ได้ โดยได้รับการคุ้มครอง ไม่ถูกฟ้องกลับ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของทุกคนในสังคม
“ปัจจุบันกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียน และมีองค์กรภาคประชาสังคมในประเทศไทยและต่างประเทศมาให้ความรู้เรื่องนี้อย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่ยังมองว่าสังคมไทยต้องเรียนรู้พัฒนาให้ทันโลกมากขึ้น เพราะคดีทรมาน-อุ้มหาย เป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะพิเศษ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีวิธีการทำงานที่ละเอียด มีองค์ความรู้ทั้งกฎหมาย นิติเวช และจิตวิทยามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการสอบสวน การพิจารณาคดี และการเยียวยาให้ครอบคลุมต่อผู้เสียหายโดยเฉพาะญาติของผู้เสียหายอย่างได้ผล”พรเพ็ญกล่าว
เยาวลักษณ์ อนุพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยืนยันว่า หน่วยงานจะเคียงข้างบุคคลและครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหายในการตามหาความจริงเพื่อให้ทราบถึงที่อยู่และชะตากรรมของบุคคลเหล่านั้นให้หมดข้อสงสัย และจะสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการเยียวยาจากภาครัฐให้ถึงที่สุด หลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. 2565 เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2566 รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีกฎหมายนี้บังคับใช้ในประเทศไทย และหวังว่ากฎหมายนี้จะอำนวยให้ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์และบุคคลผู้ถูกบังคับให้สูญหายปรากฏออกมา
“การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นสิ่งที่เราจะยอมรับให้เกิดขึ้นไม่ได้ในสังคมไทย สิ่งนี้ละเมิดอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและการจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของบุคคลผู้สูญหายและผู้คนรอบข้าง การละเมิดอย่างถาวรนี้จะยังคงอยู่ ตราบใดที่รัฐยังค้นหาบุคคลเหล่านี้ไม่พบ รัฐไทยต้องจริงใจ จริงจัง และทันท่วงทีต่อเหตุการณ์บังคับบุคคลให้สูญหายของบุคคลที่เกิดขึ้นตลอดมาให้สมกับการประกาศใช้กฎหมายใหม่” เยาวลักษณ์กล่าว
ทั้งนี้ทาง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย,มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) ได้มีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี,คณะกรรมการตามพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 คือให้เร่งรัดให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: ICPPED) โดยไม่มีข้อสงวนใดๆ และพิจารณาให้สัตยาบันเเละอนุวัติการพิธีสารเลือกรับตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานเเละการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OP-CAT) เข้ามาเป็นกฎหมายภายในประเทศอย่างเร่งด่วน ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงยุติธรรมให้เร่งรัดปฏิบัติตามข้อเสนอแนะจากกระบวนการตรวจสอบสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review – UPR) โดยเฉพาะการสืบสวนสอบสวนกรณีการกระทำให้บุคคลสูญหายจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้ถูกบังคับให้สูญหาย และรู้ตัวผู้กระทำผิด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะถูกบังคับให้สูญหายภายในราชอาณาจักร หรือนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสิทธิในการทราบความจริงของครอบครัวเเละญาติ ตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565
ข้อเสนอต่อแนะต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย
โดยให้รายงานเเละเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายและคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการฯ ดังกล่าว พร้อมกำหนดช่องทางให้ผู้เสียหายหรือญาติสามารถติดตามตรวจสอบความคืบหน้าในกระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่ส่งหรือคณะกรรมการฯ ดังกล่าวได้หยิบยกขึ้นพิจารณาตามพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ได้ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และคณะอนุกรรมการซึ่งดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายภายใต้คณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว ต้องออกมาตรการเยียวยาแก่ผู้เสียหายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอย่างน้อยต้องครอบคลุมตามมาตรฐานขั้นต่ำในข้อ 14 ว่าด้วยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการทรมานตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ตามความเห็นทั่วไปฉบับที่ 3 ของคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน และหลักการพื้นฐานและแนวทางว่าด้วยการเยียวยาผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและกว้างขวางของสหประชาชาติ
ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งรัดทบทวนแนวปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ญาติหรือผู้เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกระทำให้สูญหาย ผู้ถูกกระทำทรมาน หรือผู้ถูกกระทำการที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมฯ ซึ่งรวมถึงระเบียบกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าด้วยการคุ้มครองพยาน พ.ศ. 2554 ทั้งนี้ให้เร่งรัดทบทวนเเนวปฏิบัติตามกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ กฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เเละกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมเเละพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นต้น และดำเนินการเเละเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและเสนอเเนะเพื่อการปรับปรุงและแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในงานนิทรรศการทำให้ได้ฟังเสียงและความรู้สึกของญาติผู้ถูกบังคับให้สูญหายผ่านงานศิลปะที่ถ่ายทอดความรู้สึกผ่าน 8 เมนูอาหารจานโปรดในความทรงจำที่สุดแสนจะธรรมดาแต่อุดมไปด้วยความคิดถึง ความหวังและความปรารถนาในความยุติธรรมซึ่งแม้จะผ่านมานานสักเท่าไร ก็ยังรอพวกเขาที่พวกเขา “กลับสู่วันวาน…กลับมากินข้าวด้วยกันนะ” ทั้งนี้ร่วมชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2566 เพื่อร่วมฟังเสียงครอบครัวของพวกเขา ทำให้เสียงของพวกเขาไม่ถูกลืมและดังขึ้น
.