
มุมสูงจากวัดไจตะหล่าห์ ดูเหมือนจะเป็นจุดที่แลเห็นตัวเมืองเมาะละแหม่งได้กว้างไกลที่สุด และงดงามที่สุด โดยเฉพาะในยามอาทิตย์อัสดง ที่แสงขาวเจิดจ้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นแสดส้ม และเลือนสลัวลงในที่สุด ส่งผลกระทบต่อจิตใจไหวหวั่นแก่ใครหลายคนเลยทีเดียว
วัดไจตะหล่าห์เป็นวัดสำคัญของเมาะละแหม่ง ในตำนานรักรันทดระหว่างหมะเมียะกับเจ้าน้อยแห่งเวียงเจียงใหม่ บั้นปลายชีวิตหมะเมียะมาบวชชีอยู่ที่วัดแห่งนี้
ฉันเดินทางมาเมาะละแหม่งเป็นครั้งที่สามในชีวิต สองครั้งแรกเดาสุ่มเดินทางมาเยี่ยงนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรมากนัก รู้แค่ว่าเมาะละแหม่งเป็นเมืองศูนย์กลางของรัฐมอญ ชนชาติที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตและมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ร่วมกับไทยอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งสำคัญที่นำพาฉันมาเมาะละแหม่งทั้งสามครั้ง อยู่ที่สาละวินสายน้ำแห่งอุษาคเนย์ที่ยังพูดได้เต้มปากว่าเป็นแม่น้ำที่ไหลอย่างเสรี ไม่มีเขื่อนมาขวางกั้น
ครั้งล่าผ่านมาหมาดๆของการเดินทางสู่เมาะละแหม่ง ฉันได้เดินทางร่วมกับนักข่าวหลายสำนัก ซึ่งติดตามเรื่องราวของแม่น้ำสาละวินมาตั้งแต่ฝั่งประเทศไทย ในเขตอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชายแดนไทย-พม่า จึงค่อนข้างได้ข้อมูลด้านลึกโดยเฉพาะความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมฝั่งสาละวิน รวมถึงแนวคิดของนักการเมืองและนักทำงานด้านสิ่งแวดล้อมชาวมอญและกะเหรี่ยง

ต้นธารสาละวินเกิดจากการละลายของหิมะเหนือหิมาลัย ไหลผ่านเขตประเทศจีน ผ่านรัฐฉาน รัฐคะยา และรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งช่วงหนึ่งนั้นเป็นเส้นกั้นพรมแดนไทยพม่าที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากนั้นสาละวินไหลไปบรรจบกับแม่น้ำเมย ก่อนจะวกออกประเทศพม่าผ่านพะอันเมืองหลักของรัฐกะเหรี่ยง แล้วออกทะเลอันดามันที่อ่าวเมาะตะมะ เมืองเมาะละแหม่ง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ 2,800 กิโลเมตร
ตลอดเส้นทางที่แม่น้ำสายนี้ไหลผ่าน เต็มไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ชีวิตอยู่สองฟากฝั่งบางคนจึงขนานนามสาละวินว่าเป็นแม่น้ำแห่งชาติพันธุ์นอกจากนี้สองฟากฝั่งสาละวินยังอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าเขาลำเนาไพร ที่ให้กำเนิดพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิตหลากหลายนับสายพันธุ์ไม่ถ้วน

การสร้างบ้านแปงเมืองมักเริ่มต้นในพื้นที่อุดมสมบูรณ์เอื้อต่อการทำมาหากิน ที่ราบลุ่มแม่น้ำนับเป็นพื้นที่อันเหมาะสมที่สุด ชุมชนบ้านเมืองและรัฐชาติจึงมักจะตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำ เพราะนอกจากจะเหมาะต่อการทำเกษตรและประมง ยังมีเส้นทางติดต่อค้าขายทางน้ำอีกด้วย
เมืองเมาะละแหม่งที่ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวเมาะตะมะ จุดบรรจบของแม่น้ำสาละวินกับทะเลอันดามัน จึงเป็นเมืองที่มีทำเลอันเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง มีความมั่นคงทางอาหารและพร้อมด้วยเส้นทางคมนาคม จึงไม่ต้องสงสัยแคลงใจเลยว่าในยุคล่าอาณานิคม เมาะละแหม่งจะกลายเป็นเมืองเนื้อหอมที่หมายปองของเจ้าอาณานิคม ครั้งอังกฤษเข้ามาครอบครองดินแดนแถบนี้ ได้มาใช้เมาะละแหม่งเป็นเมืองศูนย์กลาง ชาวอังกฤษมาอยู่อาศัยกันจำนวนมาก กระทั่งได้รับสมญานามว่าLittle England
สถาปัตยกรรมโคโลเนียลสไตล์ที่หลงเหลือให้เห็นในเมาะละแหม่ง เป็นมรดกที่นักล่าอาณานิคมทิ้งเอาไว้ ไม่ต่างกับอีกหลายๆเมืองในอุษาคเนย์ที่เคยรับอิทธิพลวัฒนธรรมยุโรป


เมาะละแหม่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของพม่า เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางเรือและการค้าของภาคตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 300 กิโลเมตร ห่างจากชายแดนแม่สอดของไทยเพียงแค่ 150 กิโลเมตร มีเส้นทางรถไปถึง ปัจจุบันมีเครื่องบินแม่สอด – เมาะละแหม่ง ใช้เวลาบินไม่ถึงชั่วโมง เตรียมพร้อมรองรับเส้นทางการค้าการท่องเที่ยว ที่นักลงทุนชาวไทยเล็งผลเลิศ
ความเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าของเมาะละแหม่ง เห็นได้ชัดที่สุดจากท่าเรือและตลาดขนาดใหญ่ ล้นเหลือไปด้วยสรรพสินค้าตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบอย่างที่เขาเปรียบเปรย ในยามเช้าที่เรือเทียบท่าจะจอแจอึกทึกไปด้วยผู้คนขนถ่ายสินค้า ฉันนั้นหลงใหลตลาดเมาะละแหม่งตั้งแต่มาครั้งแรก ไม่มีอะไรทำก็มาเดินฉุยฉายอยู่ในตลาดนี่แหละ


เขาว่าตลาดนั้นบอกเล่าความเป็นอยู่ความอุดมสมบูรณ์ของท้องถิ่น เมืองศูนย์กลางอย่างเมาะละแหม่งที่รวมเอาสินค้าจากที่ต่างๆเพื่อระบายออก คงบอกได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของประเทศพม่า เมืองที่แค่แง้มประตูก็มีแต่คนถลาเข้ามาเพื่อตักตวงทรัพยากร และเสพชมวัฒนธรรมดั้งเดิม อันหาไม่พบในประเทศที่พัฒนาและประเทศที่พยายามพัฒนา
เมืองเก่าๆที่เคยรุ่งเรืองและซบเซาลงในอีกยุคสมัยหนึ่ง แต่ยังคงทิ้งร่องรอยอดีตให้อบอวลอยู่นั้น ช่างเป็นเมืองที่มากเสน่ห์ชวนมาดอมดมไม่รู้เบื่อ เมาะละแหม่งเป็นเมืองหนึ่งที่จัดอยู่ในอารมณ์นี้ ทั้งยังชวนค้นหายิ่งขึ้นเมื่อนึกถึงแม่น้ำสาละวินกว้างสุดตา ที่กำลังไหลบรรจบพบทะเลอันดามัน
จากเทือกเขาสูงเยือกเย็นจนสุดสายปลายแผ่นดินที่รัฐมอญ เป็นการเดินทางที่แสนอัศจรรย์ ของสายน้ำ ที่มนุษย์พยายามเรียนรู้และอยู่ให้สุขสบายที่สุด เท่าที่สามารถจะหาได้จากสายน้ำ
——————————–
โดย จิตตมา ผลเสวก
เทคโนโลยีชาวบ้าน