จตุพร สุสวดโม้

“ทำงานในโรงงานมา 7 ปี ได้ค่าแรงก็น้อยนิด ยังถูกนายหน้าและเจ้าหน้าที่รัฐรีดไถส่วยอีก” เธอเล่าเหตุผลที่หญิงแรงงานข้ามชาติหันหลังให้ระบบแรงงานในไทย
“ก่อนหน้านี้เคยจ่ายค่าทำบัตรสีชมพูปีล่ะไม่เกิน 5,000 บาท แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจนผิดปกติ พอไม่มีเงินต่อใบอนุญาต นายหน้าก็ข่มขู่ กดขี่ ไม่ได้ค่าแรงจากการทำ OT” หญิงชาวไทใหญ่เผยสาเหตุที่ต้องหนีออกมาทำงานนอกระบบ“ก่อนหน้านี้เคยจ่ายค่าทำบัตรสีชมพูปีล่ะไม่เกิน 5,000 บาท แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจนผิดปกติ พอไม่มีเงินต่อใบอนุญาต นายหน้าก็ข่มขู่ กดขี่ ไม่ได้ค่าแรงจากการทำ OT” หญิงชาวไทใหญ่เผยสาเหตุที่ต้องหนีออกมาทำงานนอกระบบ
คำบอกเล่าของหญิงชาวไทใหญ่สะท้อนปัญหาแรงงานข้ามชาติในไทยที่ยังต้องเผชิญการกดขี่ค่าแรงงานจากนายจ้าง ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ บ้างถูกทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจ ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในหลาย ๆ ด้าน แม้พวกเขาจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย
พื้นอิฐเรียงยาว ใต้ต้นไม้ถูกใช้เป็นที่นั่งพักพิงสำหรับผู้ใช้แรงงานนอกระบบ บริเวณสี่แยก ย่านวัดป่าแพ่ง บนเมืองอุตสาหกรรมท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ที่มีชื่อว่า เมืองเชียงใหม่
ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งชาวไทยหรือชาวพม่าต่างเข้ามาขายแรงงานแบบชั่วครั้งชั่วคราว หรือเรียกว่า “แรงงานนอกระบบ” แม้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลแต่ผู้คนในพื้นที่นี้ยังคงไร้ความหวังกับการเมือง
หลายคนเข้ามานั่งรอนายจ้างขับรถมาแจกจ่ายงานท่ามกลางแดดร้อนตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 6 โมงเย็น
ในพื้นที่เฝ้ารอการขายแรงแห่งนี้มี “มิโย้ว” ชาวไทใหญ่ จากประเทศพม่า วัย 43 ปี เธอเป็นหญิงผู้ขายแรงงานท่ามกลางผู้ชายมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะงานหนักงานเบาเธอก็ไม่เคยปฏิเสธ
“งานที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นงานที่ใช้แรงงานหนัก ถ้านายจ้างรับผู้หญิง เราก็รับหมดทุกงาน” เธอพยายามอธิบายถึงการไม่เลือกงานเพราะน้อยครั้งจะมีนายจ้างที่รับผู้หญิงร่วมด้วย
มิโย้วบอกว่า ประเภทของงานที่นี่มีหลากหลาย ทั้งก่อสร้าง แบกหาม ยกของหนัก นาน ๆ ทีจะมีงานเบา ซึ่งงานพวกนี้เป็นงานรายชั่วโมงต่อชั่วโมง ถ้าเสร็จเร็วก็สามารถกลับมารับงานอื่นต่อได้
“รายได้ผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย ห่างกันหลักร้อยบาท เราได้ 400 บาทต่องาน แต่ถึงได้น้อยกว่าก็ต้องทำเพราะต้องหาเงินมาดูแลลูกๆ ”แม้เป็นความไม่เท่าเทียมระหว่างหญิงและชายแต่ก็เธอก็จำต้องยอมเพราะต้องเลี้ยงดูลูก 3 คน
มิโย้วเล่าว่า นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นงานๆไป บ้างก็เหมาแล้วให้หารเงินกันเอง หรือไม่ก็จ่ายเป็นรายคน สำหรับผู้ชาย 500 บาท ส่วนผู้หญิงได้รับค่าจ้าง 400 บาท ซึ่งมีราคาที่แตกต่างกันระหว่างเพศ
แม้ไม่ได้รับค่าแรงเทียบเท่ากับผู้ชาย แต่เธอก็รู้สึกมีอิสระมากกว่า รับงานเท่าที่ทำไหว หากเหนื่อยอย่างน้อยก็ได้มีเวลาพักเหนื่อย เธอเล่าพร้อมถอนหายใจด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“มารับงานนอกที่นี่แม้บางวันไม่ได้งานเลย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าทนอยู่ในโรงงานนรก ที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน”เธอพยายามบอกเล่าถึงอดีตที่เคยอยู่ในระบบแรงงานไทยด้วยสำเนียงที่คุ้นเคยผ่านการอาศัยอยู่ในไทยมาเป็นระยะเวลานาน
เธอเล่าย้อนชีวิตว่า เมื่อ 10 ปีก่อนได้ย้ายถิ่นฐานหนีภัยความอดยากจากพม่าเข้ามาในไทย ทำงานอยู่ในโรงงานใน จ.สมุทรสาคร แม้จะมีบัตรต่างด้าว “สีชมพู” ที่อนุญาตให้ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่ชีวิตเธอเหมือนตายผ่อนส่ง
“ทำงานในโรงงานมา 7 ปี ได้ค่าแรงน้อยนิด แต่ถูกนายหน้าและเจ้าหน้าที่รีดไถส่วยผ่านการจ่ายเงินทำใบขออนุญาตทำงาน” เธอพยายามอธิบายถึงช่องโหว่ของกฎหมายแรงงานไทยที่เปิดทางให้นายหน้าและเจ้าหน้าที่เรียกเก็บส่วย
“ก่อนหน้านี้เคยจ่ายค่าทำบัตรสีชมพูปีละไม่เกิน 5,000 บาท แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจนผิดปกติ พอไม่มีเงินต่อใบอนุญาต นายหน้าก็ข่มขู่ กดขี่ ไม่ได้ค่าแรงจากการทำ OT” เธอให้รายละเอียดถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบ เธอไม่จ่ายยอมส่วยเพื่อต่อบัตรสีชมพู จึงต้องโดนกดดันจากนายจ้าง โดยไม่ยอมให้หยุดงาน ไม่ได้รับสวัสดิการ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เธอไม่ต้องการต่อใบอนุญาตอีกต่อไปและหนีออกมาทำงานเป็นแรงงานนอกระบบ
ถัดออกมาในบริเวณเดียวกันที่มิโย่วปักหลัก มีจักรยานยนต์จอดเรียงรายกัน ท่ามกลางฟ้าครึ้ม ไร้ความต้องการร่มเงาจากต้นไม้
บนรถจักรยานยนต์ “ทูระ” วัย 26 ปี นั่งข้าง ๆ เพื่อนร่วมงานพร้อมกับพูดคุยถามไถ่กัน และพยายามสื่อสารกันเป็นภาษาไทย
เขาปาดเหงื่อพร้อมเล่าเรื่องราวของเขาว่า เขามาจากเมียวดี ฝั่งพม่า อพยพมาอยู่ในไทยได้ 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ทำงานรับจ้างแถวชายแดนอำเภอแม่สอด ขยับขยายตามเพื่อนเข้ามาในเมืองเชียงใหม่
“มาทำงานที่นี่ประมาณ 6 เดือน รายได้ดีกว่าทำงานที่อื่น ถ้าขยันก็อาจจะได้ถึง 3-4 งาน แต่การทำงานที่นี่ผมไม่บัตรสีชมพูหรือใบอนุญาตให้ทำงาน”เขาพยายามอธิบายชีวิตในการทำงานที่อยู่บนความเสี่ยง
เขาบอกเล่าว่า เขาไม่มีสวัสดิการอะไรเลย รู้สึกกังวลใจหากเกิดเจ็บได้ป่วย อาจจะไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวโดนจับและถูกส่งตัวกลับพม่า
ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่บีบรัดและสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศบ้านเกิด ทำให้ทั้ง “มิโย้ว และ “ทูระ” ต้องตกอยู่ในสภาพการทำงานที่ไม่หลักประกันใด ๆ เลยในชีวิต แม้กระทั่งสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน
การใช้แรงงานข้ามชาติเพื่อพัฒนาประเทศ แต่ในซอกมุมต่างๆของสังคมไทย กลับมีแรงงานที่ปรากฏอยู่ในเงาสลัวพร้อมที่ถูกรีดไถและเสี่ยงในแทบทุกด้าน ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลชุดใหม่จะยกเครื่องความเป็นมนุษย์ของผู้คนหลากหลายในบ้านเมืองนี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่