เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566 นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ จ.เชียงราย เปิดเผยว่า เครือข่ายภาคประชาสังคมลุ่มน้ำโขงจะส่งหนังสือถึง บริษัท ต้าถัง ( China Datang Overseas Investment co., Ltd.) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนปากแบง (Pak Beng) ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) โดยก่อนหน้านี้บริษัทต้าถังเคยมาพูดคุยกับทางชุมชนและเครือข่ายจังหวัดลุ่มน้ำโขง ที่มีความเห็นพ้องต้องกันคือเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบข้ามพรมแดน และน้ำเท้อ น่าจะมีการศึกษา
นายนิวัฒน์กล่าวว่า สิ่งที่ได้คุยบริษัทต้าถังเกี่ยวกับเรื่องชาวบ้านได้รับผลกระทบ การสูญเสียที่ดินทำกิน ความเป็นห่วงต่างๆ จนถึงปัจจุบันที่มีการลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าแล้ว ชาวบ้านยังไม่รู้เลยว่าน้ำจะท่วมถึงไหน และใครจะมาแก้ไขปัญหาที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ บริษัทต้าถังก็ได้รับรู้ ซึ่งการเซ็นสัญญาครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่ไม่มีธรรมาภิบาลเลย ขณะที่บริษัทต้าถังเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาล ซึ่งน่าจะมีความพยายามที่จะพูดคุยกับบริษัทร่วมทุนในเรื่องนี้
“ขณะนี้กำลังติดตามฟังความเห็น และท่าทีของนายกรัฐมนตรี เพราะชาวบ้านต้องการคำตอบ หลังจากที่เครือข่ายประชาชนไทยลุ่มน้ำโขงได้มีหนังสือขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาชะลอการลงนามสัญญา ชุมชนมองว่าใครจะติดตามในเรื่องนี้ให้เราได้ เช่น นักข่าวช่วยตั้งคำถามแบบด่วนๆ ทั้งปัญหากระทบต่อประชาชน และปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อเขตแดน ต่อผลกระทบข้ามพรมแดน นายกรัฐมนตรีต้องรู้ ซึ่งเวลานี้นายกฯ รู้หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องของชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบขอบนายกรัฐมนตรีโดยตรง ถ้าหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ นายกรัฐมนตรีต้องรับรู้ ภาคประชาสังคมและเครือข่าย อาจต้องส่งหนังสือสอบถามรัฐบาลจีนด้วย หลังได้สอบถามบริษัทต้าถังแล้ว ให้เห็นว่าบริษัทของประเทศเขามาลงทุนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงจะสร้างผลกระทบมากมาย” นายนิวัฒน์ กล่าว
นายนิวัฒน์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเวทีรับฟังการชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ว่าฟังคำชี้แจงแล้วพบว่า โครงการสร้างเขื่อนปากแบงเป็นความไม่พร้อมและไม่สมบูรณ์ในทุกๆ ด้านถึงเหตุผลในการที่จะสร้างเพราะไม่สามารถตอบในสิ่งที่ชาวบ้านกังวลได้ ซึ่งหน่วยงานของรัฐพยายามพูดไปถึงเรื่องกองทุนเยียวยา ซึ่งไม่ได้กำหนดรายละเอียดอะไรต่างๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไร จะเยียวยาอะไร
ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า ตนมองว่ารัฐไม่เอาใจใส่โดยเฉพาะเรื่องน้ำเท้อ ที่จะเห็นชัดเจนว่า ถ้าเกิดความเสียหายกับที่อยู่ที่ทำกินพี่น้องชาวบ้าน เรือกสวนไร่ นา ถ้าน้ำเท้อมาท่วม ชาวบ้านยังไม่รู้เลยจะท่วมที่ดินตรงไหน ความเอาใจใส่ในเรื่องเหล่านี้ของภาครัฐไม่มีเลย เมื่อมองภาพรวมของการขับเคลื่อนเรื่องนี้แล้ว รัฐมีพลังในการขับเคลื่อนในโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ในการจัดการแม่น้ำโขงเพื่อสร้างเขื่อนสามารถทำได้รวดเร็วที่เริ่มปี 2565 แล้วสามารถเซ็นสัญญาในปี 2566 ได้เลย แสดงให้เห็นว่า ความคิดของรัฐและทุน กับสิทธิของพี่น้องชาวบ้านและสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องชาวบ้าน จะกระทบไปถึงชีวิตผู้คนต่าง ๆ โดยภาครัฐและทุนไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้ว
“ถ้ายังทำแบบนี้ จัดการแม่น้ำโขงด้วยโครงสร้างแบบเก่า แม่น้ำโขงตายแน่ เรื่องการสร้างเขื่อนปากแบงที่เราทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เพราะต้องการให้ท่านทราบว่า การตัดสินใจในการสร้างเขื่อนปากแบง มันผิด ที่ผิดมากก็คือเรื่องของการจัดการ และเรื่องความเดือดร้อนของพี่น้องชาวบ้านที่จะเกิดขึ้น เรื่องสิทธิต่างๆ ควรต้องได้รับการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว ถึงจะไปถึงเรื่องของการเซ็นสัญญาได้”นายนิวัฒน์กล่าว
ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของกล่าวว่า โครงการเขื่อนปากแบงตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น การทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (EIA) ผลกระทบข้ามพรมแดน ก็ชัดเจนแล้วว่า หน่วยงานของรัฐไทยที่เกี่ยวข้อง มีความเห็นว่าไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม ข้อมูลไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังดันทุรัง ในกระบวนการรับฟัง (PNPCA) ตามระเบียบของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เอกสารสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่มีความห่วงกังวล แต่สุดท้ายก็ไม่ถูกวางแผนจัดการกับเรื่องเหล่านั้น
“เซ็นสัญญาแล้วก็ยังไม่รู้ว่ารัฐจะต้องทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร น้ำท่วมถึงไหนยังไม่รู้ จึงบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกรณีเขื่อนปากแบง คือความไม่เอาใจใส่ของรัฐที่จะปกป้องผู้คน ที่จะปกป้องทรัพยากร ไม่ปกป้องดินแดน รัฐไม่เอาใจใส่ ท่ามกลางโครงสร้างที่ไม่เอาใจใส่นี้ กลับไปเป็นประโยชน์ของทุนในการขับเคลื่อนที่เร็วขึ้น” นายนิวัฒน์กล่าว
นายนิวัฒน์กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการ คือประการแรกในระยะสั้นต้องระงับสัญญาซื้อขายก่อน โดยภาคประชาชนได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีแล้วให้มีการทบทวนเรื่องเขื่อนปากแบง ประการที่สอง คือต้องพูดคุยกันในเรื่องนโยบายการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงของประเทศไทย โดยรัฐไทยต้องเอาใจใส่เรื่องธรรมาภิบาลของเอกชนไทย ที่เข้าไปสร้างเขื่อนแม่น้ำโขง และสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ต้องยึดหลักธรรมาภิบาล ประการที่สาม คือหน่วยงานรัฐไทยทำหน้าที่ใน MRC คือสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ต้องผลักดันนโยบายการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากขึ้น การแก้ไขกฎหมาย และทบทวนข้อตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ.2538
“นี่แสดงให้ว่าพลังของทุนมันแรงในยุคสมัยนี้และท่ามกลางกระแสที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ เป็นการขยายความเหลื่อมล้ำให้กับสังคม” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าว
ด้านนายทองสุข อินทะวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย กล่าวว่า การต่อสู้ของประชาชนทำอะไรไม่ได้เลย เอกสารข้อมูลน้ำเท้อ ผลกระทบไม่มีความชัดเจนเลย รู้เพียงว่าเขื่อนปากแบงจะกักเก็บน้ำที่ 340 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่ก็ไม่รู้ว่าแต่ละพื้นที่จะท่วมตรงไหนบ้างไม่มีคำตอบจากหน่วยงาน ส่วนเรื่องการชดเชยที่ระบุว่ามีการตั้งกองทุนเยียวยา ถามว่าจะเพียงพอกับความเสียหายหรือไม่ หากมีการชดเชยก็ต้องชดเชยหน้าเขื่อนและหลังเขื่อนซึ่งเงินกองทุนจะพอหรือไม่ แล้วคำนวณการชดเชยอย่างไร ตอนนี้ต้องการฟังว่ารัฐบาลไทยจะเห็นอย่างไรกับปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน ประชาชนที่รับผลกระทบไม่รู้อะไรเลย และเราประชาชนโดยเฉพาะบ้านห้วยลึกเป็นจุดแรกที่ได้รับผลกระทบข้ามแดน จึงต้องการข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ที่ผ่านมาในการประชุมท้องที่ท้องถิ่น หน่วยงานราชการไม่เคยได้ข้อมูลเรื่องผลกระทบหรือนำเรื่องเขื่อนปากแบงมาพูดคุยในการประชุมเลย ชาวบ้านไม่เคยรู้ข้อมูลนี้จากหน่วยงานเลย” นายทองสุขกล่าว
ขณะที่นายศุภโชค ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้นำปัญหาโครงการสร้างเขื่อนปากแบงโพสต์ให้สังคมได้รับทราบ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้องชี้แจงอาจเพราะได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากันไปเรียบร้อยและเขาคงไม่อยากกลับไปแก้ไข แม้เขาจะอ้างว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ แต่เนื้อหาในรายงานอีไอเออาจยังไม่ครอบคลุม เพราะมีประชาชนหลายกลุ่มได้รับผลกระทบ รวมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม
“ในเมื่อเป็นการปรับเปลี่ยนชีวิตของประชาชนริมแม่น้ำโขงที่ใช้ชีวิตมายาวนานและอยู่กับแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างเกื้อกูล แต่การสร้างเขื่อนครั้งนี้จะทำให้เกิดน้ำเท้อหรือน้ำท่วมสูงกว่าเดิมแน่นอน จะทำให้วิถีชีวิตของประชาชนเปลี่ยนไป เช่น คนที่เคยมีรายได้จากการเก็บไกหรือสาหร่ายแม่น้ำโขงก็ไม่มีรายได้ส่วนนี้อีกแล้ว เขาจึงอยากให้หน่วยงานรัฐลงมาดู เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำตอบใดๆให้พวกเขาเลย สส.พรรคก้าวไกลช่วยกันเกาะติดเรื่องนี้กันหลายคน เชื่อว่าคงต้องมีการตั้งกระทู้หรือญัติสอบถามรัฐบาลแน่นอน คาดว่าในวันที่ 26 กันยายนซึ่งมีการประชุมพรรค คงต้องหารือเรื่องนี้กัน” นายศุภโชค กล่าว
อนึ่งเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2561 ณ โฮงเฮียนน้ำของ อ.เชียงของ ตัวแทนของบรษัทต้าถัง อาทิ นายZhang Chao รองผู้จัดการบริษัท ได้ลงพื้นที่และประชุมหารือกับเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงและนักวิชาการ นำโดยครูตี๋ ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเห็นชอบร่วมกันในการศึกษาเพิ่มเติมประเด็นผลกระทบข้ามพรมแดน อย่างไรก็ตามสุดท้ายยังไม่มีผลการศึกษาดังกล่าวออกมา อย่างไรก็ตามหลังจากที่บริษัทต้าถังได้หารือกับชาวบ้านต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นโดยบริษัทต้าถังได้ดึงกลุ่มกัลฟ์ซึ่งเป็นนักลงทุนจากประเทศไทยเข้ามาถือหุ้น 49% และทำให้โครงการเดินหน้าอย่างรวดเร็วจนสามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.ได้เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา