
พวกเราใช้เวลา 5 วัน ในการเก็บข้อมูลชุมชนลุ่มน้ำสาละวินตอนล่าง ตั้งแต่ปากแม่น้ำเมืองมะละแหม่งในรัฐมอญไปจนถึงเมืองพะอันในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งชาวบ้านริมแม่น้ำส่วนใหญ่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับโครงการสร้างเขื่อนกั้นสาละวิน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างเขื่อนฮัตจีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)ในรัฐกะเหรี่ยงใกล้ชายแดนไทยซึ่งจะผลกระทบกับพวกเขาโดยตรง
เสียงของชาวบ้าน พระสงฆ์และผู้นำกองกำลังตลอดลำน้ำสาละวินตอนล่างต่างสะท้อนถึงความหวาดหวั่นถึงผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะการทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมที่อยู่เป็นปกติสุขมาช้านาน ที่น่าสนใจคือจุดสร้างเขื่อนฮัตจียังอยู่ในเขตพื้นที่สู้รบของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยูซึ่งประกาศท่าทีชัดแจ้ง “ไม่เอาเขื่อน”
ขณะที่ผู้แทนของพรรคมอญใหม่ในเมืองมะละแหม่ง แม้ไม่มีท่าทีชัดเจนเท่าเคเอ็นยู แต่น้ำเสียงก็คล้อยไปทางไม่เห็นด้วยกับโครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“ทุกวันนี้กระแสน้ำในสาละวินเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการสร้างสะพาน ทำให้ที่ดินของชาวบ้านหลายพื้นที่ถูกน้ำเซาะ บางพื้นที่กลายเป็นเกาะทราย ซึ่งหากมีการสร้างเขื่อนอาจยิ่งทำให้เกิดผลกระทบมากกว่าสะพาน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างข้อดีและข้อเสีย โดยเฉพาะเมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ซึ่งหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลง” นายตาลา นี (Tala Nyi) กรรมการบริหารพรรคมอญใหม่ กล่าว
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่เมืองมะละแหม่งและเมืองพะอันแล้ว คณะผู้สื่อข่าวและทีมถ่ายทำสารคดีเดินทางไปยังย่างกุ้ง เพื่อร่วมเวทีแลกเปลี่ยนกับเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำสาละวิน และกลุ่มสื่อมวลชนพม่า โดยมีมูลนิธิปองกูเป็นผู้ประสานงาน
เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ลุ่มน้ำสาละวินในพม่ามีแผนจัดงานวันหยุดเขื่อนโลกในวันที่ 14 มีนาคม ขึ้นที่เมืองมะละแหม่ง เพราะต้องการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำสาละวินให้ชาวบ้านได้รับทราบกว้างขวางขึ้น
ขณะที่ผู้แทนองค์กรสิ่งแวดล้อมคะเรนนี กล่าวว่ากำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากมีการสร้างเขื่อนยวาติ๊ด (Ywathit Dam) กั้นแม่น้ำสาละวินในช่วงที่ไหลผ่านรัฐคะเรนนี โดยในเบื้องต้นพบว่าต้องย้ายชาวบ้าน 12 หมู่บ้านออกจากพื้นที่
“หากเขาสร้างเขื่อนยวาติ๊ดจริง ประชาชนรู้สึกกังวลมาก ที่สำคัญริมแม่น้ำสาละวินในรัฐคะเรนนี มีกลุ่มชาติพันธุ์ยินตาเล(Yintalay) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของรัฐคะเรนนี โดยขณะนี้มีประชากรเหลืออยู่เพียงราว 700 คน หากสร้างเขื่อนจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขาถึงขั้นทำให้ล่มสลายได้”
ที่ผ่านมาองค์กรสิ่งแวดล้อมคะเรนนีพยายามนำเสนอเรื่องของชาวยินตาเลสู่สังคมให้มากที่สุด เพราะเชื่อว่ามีน้ำหนักที่อาจทำให้สังคมร่วมกันขานรับและร่วมกันคัดค้านเขื่อน
ขณะที่ผู้แทนเครือข่ายแม่น้ำกะเหรี่ยงได้รายงานความคืบหน้าโครงการสร้างเขื่อนฮัตจีว่า กฟผ.ได้จ่ายเงินเดือนจ้างคนในพื้นที่ทำหน้าที่วัดระดับน้ำในแม่น้ำสาละวิน นอกจากนี้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คนของทางการพม่าได้มาย้ำกับชาวบ้านว่าเขื่อนฮัตจีเกิดขึ้นแน่ และจะมีการย้ายคนในหมู่บ้านไปอยู่ที่เนปิดอว์และตองอู ซึ่งไกลจากที่เดิมมาก ทำให้ชาวบ้านต่างรู้สึกกังวลใจมากเพราะไม่สะดวกต่อการดำเนินชีวิต
“เป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลพม่ามักเลือกจังหวะเวลาในการเจรจาสันติภาพและการลงนามหยุดยิงในช่วงเดียวกับการเดินหน้าตามแผนสร้างเขื่อน ทั้งๆที่พวกเรายังไม่ทราบชัดเจนเลยว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดเพราะเราไม่มีโอกาสสัมผัสกับข้อเท็จจริง” ผู้แทนเครือข่ายแม่น้ำกะเหรี่ยงตั้งข้อสังเกต พร้อมกับระบุว่าในแผนพัฒนาประเทศพม่าได้จับจ้องไปที่การผลิตพลังงานเพื่อขายให้กับต่างชาติโดยเฉพาะพลังงานน้ำ ซึ่งการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวินถูกจับจองมากที่สุดเพราะมีภูมิประเทศความเหมาะสมกับการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

ส่วนสื่อมวลชนพม่า ยังให้น้ำหนักข่าวกรณีสร้างเขื่อนในแม่น้ำสาละวินไม่มากนัก แต่หลายคนก็ให้ความสนใจเมื่อมีการนำเสนอข้อมูล บางคนรู้สึกประหลาดใจที่เห็นสื่อมวลชนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
นอกจากพูดคุยเรื่องโครงการสร้างเขื่อนในสาละวินแล้ว นักข่าวทั้งไทยและพม่ายังร่วมกันแลกเปลี่ยนสถานการณ์บ้านเมืองของทั้ง 2 ประเทศด้วย โดยสื่อไทยได้ตั้งคำถามถึงบทบาทของนางอองซานซูจีซึ่งนับวันจะถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างพุทธกับมุสลิม ส่วนสื่อพม่านั้น ให้ความสนใจเรื่องการขับไล่รัฐบาลของกปปส.มาก
นักข่าวพม่าเล่าว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมาพม่ามีการประท้วงโดยประชาชนหลายภาคส่วน ทั้งชาวไร่ชาวนา ปัญญาชน ศิลปิน ฯลฯ ต่อต้านโครงการเขื่อนมิตส่ง เขื่อนใหญ่ที่จะกั้นแม่น้ำอิรวดี ในรัฐคะฉิ่น เป็นประเด็นร่วมของคนในสังคม เนื่องจากเป็นแม่น้ำที่เป็นเสมือนเส้นเลือดของชาวพม่า มีพื้นที่ปากแม่น้ำที่กว้างใหญ่ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ โดยเขื่อนลงทุนโดยบริษัทจีนจะส่งไฟฟ้ากลับไปขายให้แก่ประเทศจีน ในขณะที่แม่น้ำสาละวินมีความสำคัญต่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากกว่าชาวพม่าโดยตรง โดยเป็นการลงทุนร่วมจากไทยและบริษัทจีน
ประเด็นการลงทุนของไทยในประเทศพม่านั้น ดร.จอตูอ่อง จากมูลนิธิปองกู กล่าวว่าชื่อเสียงทุนไทยที่ผ่านมาในพม่าก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีมากนัก มีหลายโครงการที่สร้างคำถามในประเด็นผลกระทบในท้องถิ่น อาทิโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย
“ประเทศไทยมีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีมาก มีส่วนร่วม มีประชาธิปไตย และประเทศไทยก็ช่วยเหลือประชาชนพม่าไว้มาก ปัจจุบันมีทั้งผู้ลี้ภัยกว่า 1.5 แสนคน และแรงงานอีกนับล้านคน อยากให้ไทยปรับปรุงมาตรฐานการลงทุนในพม่า เพราะหากมาลงทุนแล้วสร้างผลกระทบร้ายแรง ก็จะเกิดผลกระทบข้ามมาถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ดร.จอตูแทงทะลุกลางใจใครหลายคน
ที่ผ่านมาทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปสัมปทานโครงการขนาดใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการแปลงทรัพยากรธรรมชาติคนท้องถิ่นเป็นผลประโยชน์ อาทิ แร่ธาตุ ป่าไม้ แม่น้ำ โดยชาวบ้านซึ่งมีวิถีผูกโยงกับแหล่งทรัพยากรเหล่านั้น ต้องถูกกดดันหรือบีบบังคับให้ตกอยู่ในสภาพจำยอมและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ท้ายสุดคือต้องถอยห่างหรือทิ้งถิ่นฐานที่อยู่มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ
เสียงสะท้อนของดร.จอตูอ่อง และการถามหา”ทุนธรรมาภิบาล”จึงดังมาจากประชาชนในสังคมเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นทุกวัน
———
โดย ภาสกร จำลองราช