เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารปฏิบัติการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงานสัมมนาเศรษฐกิจสีเขียว ที่ดิน และนโยบาย เพื่อหาทางออกและแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดิน โดยมีชาวบ้านจากชุมชนต่างๆที่อยู่กับป่า นักวิชาการ นักกฎหมายและผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วมราว 50 คน
ทั้งนี้ชาวบ้านที่เข้าร่วมและแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่แจ้งว่าไม่ได้รับข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ( คทช.)รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ทำให้ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี แต่ในหลายพื้นที่ผู้นำชุมชนหรือผู้นำท้องถิ่น ได้ไปรับข้อเสนอของ คทช.ไว้แล้วโดยที่ยังไม่ได้ทำประชาคมหมู่บ้าน แม้แต่ที่ อ.แม่แจ่ม ซึ่งรับเงื่อนไขของ คทช.ทั้งอำเภอ แต่ชาวบ้านจำนวนมากกลับยังไม่ทราบข้อมูลก่อน ดังนั้นชาวบ้านจึงมีคำถามว่าไม่รับเงื่อนไขของ คทช.ได้หรือไม่ เช่นเดียวกับหลายพื้นที่ที่ไปรับ คทช.มาทำให้เกิดความสับสน แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่รู้รายละเอียด ทำให้หลายคนรู้สึกกังวลว่า การรับเงื่อนไขของ คทช. อาจทำให้ต้องสูญเสียที่ดินดั้งเดิม
ด้านนายสุมิตรชัย หัตถสาร นักกฎหมายและผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวว่า พื้นป่าภาคเหนือเกือบทั้งหมดยกเว้นจังหวัดลำพูน เป็นพื้นที่วิกฤตในสายตาของรัฐคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และทหาร โดยจังหวัดที่วิกฤตรุนแรงที่สุด คือเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ลำปาง น่าน ซึ่งปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ผลที่ตามมาคือพื้นที่วิกฤตที่รัฐบอกกลับเป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้เยอะ และมีพี่น้องพื้นที่สูงอาศัยอยู่ จึงมีข้อสันนิษฐานว่าแผนแม่บทจริงๆ แล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องเป้าหมายของการจัดการป่าแต่เป็นเป้าหมายจัดการคนที่อยู่ในป่า หากต้องการจัดการป่าให้เพิ่มขึ้น 70% จริง ทำไมไม่ไปดำเนินการในพื้นที่ที่ไม่มีป่าไม้ แต่กลับระบุว่าพื้นที่ที่มีป่าเยอะเป็นพื้นที่วิกฤตรุนแรง ในแผนแม่บท หรือ นโยบายของรัฐบาลที่มีต่อเนื่องมานั้นยังอยู่ภายใต้โครงสร้างที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้คนอาศัยอยู่ในป่าซ่อนเจตนาเอาไว้ข้างหลัง
นายสุมิตรชัยกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 26 พฤศจิกายน 2561 เป็นเงื่อนไขของการปลูกป่าเพิ่มเต็มไปหมด โดยเฉพาะในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1-2 เพราะฉะนั้นนโยบายปลูกป่าเหล่านี้ที่นำมาสู่การเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลคือ 40% หรือแม้กระทั่ง 55% ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการใช้ประโยชน์ของพี่น้องประชาชนโดยที่รัฐไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เลย ออกมาตรการต่างๆ มาควบคุม บังคับให้พี่น้องต้องเข้าโครงการและอ้างว่าหากไม่เข้าโครงการ ถนน ไฟฟ้า จะไม่มีการพัฒนาในชุมชน เพื่อกำกับ ควบคุมการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพื่อที่จะนำไปสู่การปลูกป่าเพิ่ม เพื่อรองรับกับนโยบายคาร์บอนเครดิตที่กำลังรณรงค์อยู่ในขณะนี้ สร้างพื้นที่ป่าเพื่อซับคาร์บอนให้อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอน และให้กลุ่มทุนเข้ามาสัมปทานพื้นที่ในการสร้างคาร์บอนเครดิต เจตนาที่แท้จริงก็คือไม่ได้ต้องการจะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่จะมีสิทธิในที่อยู่อาศัย ที่ดิน แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือคุณต้องการป่าเพิ่มต่างหาก และแนวโน้วจะส่งผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ
นายกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา กล่าวว่าการเข้าร่วมตามเงื่อนไขของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) ต้องขอมติของสภาท้องถิ่นและต้องมีการอนุมัติถึงจะเข้าร่วมโครงการได้ ดังนั้นสภาก็มีสิทธิที่จะถอนตัว แต่ในหลายๆพื้นที่นั้น เป็นนโยบายมัดมือชก เราก็จำเป็นต้องสู้กัน
“ถ้าพูดในฐานะของผู้นำ การขึ้นมาเป็นผู้นำส่วนใหญ่ก็ต้องการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความสมดุลของคนส่วนใหญ่แต่ในเรื่องที่ดินและการพัฒนาก็มีวิกฤตที่หลากหลาย ดังนั้นผู้นำชุมชนควรจะต้องคิดเสมอว่าส่วนใหญ่ชาวบ้านต้องการอย่างไร แต่ยืนยันว่าคทช. แม้จะดีหรือไม่ดีก็เป็นเครื่องมือหนึ่ง ถ้าสำหรับผู้บริหาร คทช.ก็เป็นเครื่องมือที่ทำให้พี่น้องมีถนน มีไฟฟ้า และให้พี่น้องได้เข้าถึงสิทธิและได้รับการพัฒนา”นายกนกศักดิ์กล่าว
ดร.ชมชวน บุญระหงส์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ทำให้มีความกังวลหากกลับไปทำงานที่ชุมชนความคิดจะแตกออกเป็นสองส่วน เพราะรับรู้ข้อมูลที่แตกต่างกัน ผู้ที่ได้รับผลกระทบหลักโดยเฉพาะคนที่อยู่พื้นที่สูงจำเป็นจะต้องรับรู้ข้อมูล ปัญหา มากกว่าคนอื่น
ดร.ชยันต์ วรรณะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ความสำคัญของการรักษาป่าคือคนจะต้องอยู่ร่วมกับป่า เป็นส่วนหนึ่งที่พวกเราควรได้เรียนรู้ เราเห็นคุณค่าของป่า วิธีการจัดการปัญหาป่าไม่ควรจะละเลยวิกฤตของผู้คนที่อยู่กับป่า ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้มักจะไม่ได้รับการยอมรับซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานที่ดำรงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นปัญหาวิธีคิดของคนที่ออกแบบนโยบาย เมื่อพื้นที่ป่าลดลงก็กลายเป็นว่าโทษชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในป่า โทษระบบการทำเกษตรกรรมของพี่น้องโดยไม่ได้มีความเข้าใจวิธีการทำไร่หมุนเวียน พี่น้องจึงได้รับผลกระทบจากนโยบายและยังคงเป็นปัญหามาจนถึงปัจจุบัน








