ภาสกร จำลองราช -เรื่อง
เริงฤทธิ์ คงเมือง-ภาพ
บรรยากาศริมแม่น้ำโขงมืดมิด มองไกลๆ เห็นดวงไฟห่างๆ กันเรียงรายตามบ้านเรือนในฝั่งตรงกันข้าม พวกเรานั่งอยู่ในเพิงเล็กๆ มีเสียงพี่น้องลาวกำลังบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ผมฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง เพราะเขาพูดเป็นภาษาลาวท้องถิ่นที่ฟังยากพอสมควรสำหรับคนไทยภาคกลางอย่างผม
ค่ำคืนนี้พวกเรานั่งพักผ่อนสบายๆ หลังจากเดินทางข้ามแดนจากประเทศไทยมาตั้งแต่เช้าทางช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี เพื่อลงพื้นที่แม่น้ำโขงในจุดที่จะสร้างเขื่อนภูงอย ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองปากเซราว 29 กิโลเมตร
“เขาชวนเราไปประชุม เราก็ไม่ได้ต่อต้าน หากโครงการมาก็ต้องจ่ายค่าชดเชยมูลค่าให้เท่าเทียม ตอนแรกตั้งชื่อว่าเขื่อนอยู่ภูงอย แต่พอมาสร้างจริงกลับเอาตัวเขื่อนมาใกล้กองดินของเรา เขาเอาคนจีนมาสำรวจ มาเจาะเอาดินไป เขามีเครื่องมืออัตโนมัติ เขาถางกอไผ่ออกหมด” ชาวบ้านในหมู่บ้านที่กำลังจะได้รับผลกระทบรู้สึกเป็นกังวลถึงสถานการณ์การเดินหน้าโครงการสร้างเขื่อนภูงอย
โครงการสร้างเขื่อนภูงอย(Phu Ngoy) อยู่ทางตอนใต้ของเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ประเทศลาว เป็น 1 ในโครงการก่อสร้างเขื่อน 9 แห่งบนแม่น้ำโขงสายหลักในประเทศลาว โดยมีกำลังการผลิต 728 เมกะวัตต์
ผู้พัฒนาโครงการคือบริษัท เจริญเอเนอนี่แอนด์วอเตอร์เอเชีย(Charoen Energy and Water Asia -CEWA) โดยบริษัท CEWA ได้ทำสัญญากับ บริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ 3 แห่ง
“เขาสำรวจโดยไม่ขออนุญาตเมือง มาตั้งแคมป์อยู่กว่า 1 เดือน” ชาวบ้านเล่าถึงความคืบหน้าของโครงการโดยที่คนในชุมชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารน้อยมาก
“เราคัดค้านก็ไม่ได้ เขาบอกว่าที่ดินเป็นของรัฐ เราไม่มีสิทธิอะไรสักอย่าง” เขาที่ชาวบ้านพูดถึงคือเจ้าหน้าที่รัฐในระดับเมืองและแขวง ซึ่งดูจะเป็นเรื่องปกติของ “ระบบ” โครงสร้างการปกครองในประเทศลาว
“เขาบอกว่าเขาเป็นผู้คุ้มครองดิน ผืนดินเป็นของเขา เขาบอกจะให้ค่าชดเชย แต่ให้ครึ่งหนึ่ง เช่น เฮือนราคา 2 แสน เขาให้แค่ 1 แสน”
สถานการณ์ที่ชุมชนคนเล็กคนน้อยถูกบังคับให้อพยพออกจากหมู่บ้านเพราะผลกระทบจากเขื่อน แต่ค่าชดเชยที่ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หลานพื้นที่โยกย้ายออกไปแล้วกลับไม่สามารถอยู่ในพื้นที่แห่งใหม่ได้เพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ชีวิตที่เคยผูกโยงอยู่กับแม่น้ำโขงตั้งแต่ตื่นลืมตายันหลับตานอน ต้องกลายเป็นชุมชนในแปลงอพยพที่ไร้ซึ่งธรรมชาติโอบกอด ทำให้พวกเขาต้องอยู่อย่างลำบาก
นโยบายแบตเตอรี่แห่งเอเชียที่มุ่งผลิตไฟฟ้าขายของทางการลาวได้เบียดขับประชาชนในสังคมชนบทนับแสนคนให้หลุดออกจากขั้ววิถีชีวิตเดิมไปสู่ความแปลกใหม่ที่ชาวบ้านไม่คุ้นชิน ประสบการณ์การผจญทุกข์เหล่านี้ ชาวบ้านในชุมชนต่างๆได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในระบบ “ถามไถ่” เพื่อปกป้องตัวเองในยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน
“เราเองก็กลัวเขื่อนแตกเหมือนที่อัตถปือ ทำไมไม่ให้ค่าชดเชยเต็ม ไม่มีใครต่อต้าน แต่หาที่ทำกินที่เหมาะสมให้เราซิ” ชาวบ้านในหมู่บ้านขอนแก่นต่างรู้สึกคับข้องใจ
เสียงไก่ขันตั้งแต่ก่อนตี 5 เริ่มมีแสงสลัวไปทั่ว คืนนี้เรามานอนที่บ่อนไก่ ทำให้เสียงประสานของไก่ดังเซ็งแซ่ เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักทำให้ไฟฟ้าดับตลอดทั้งคืน
ราว 6 โมงเช้า เราตามชาวบ้านไปกู้ตุ้มหาปลา แค่เดินไปนิดเดียวก็ถึงท่าเรือเพราะบริเวณที่เรานอนอยู่ติดกับแม่น้ำโขงมองเห็นก้อนเมฆจับอยู่ที่ยอดภูงอยและขุนเขาโดยรอบ เวิ้งน้ำของแม่น้ำโขงช่วงนี้กว้างใหญ่พอสมควร
เรือลำเล็กนั่งกันไป 3 คน เรือแล่นไปแป๊บเดียวก็จอด อ้ายคนหาปลาลงน้ำและดำลงไปยกตุ้มดักปลา บางตุ้มก็ได้ปลา บางตุ้มก็ไม่ได้ปลา
“อยู่ที่นี่ก็หาอยู่หากินได้ หาปลาวันละ 3 มื้อ เอาไปขายพอมีรายได้วันละ 400-500 บาท สมัยก่อน ได้เป็นพัน แต่ปลามันหายไปเยอะ” ผมใช้เวลาที่แกโผล่พ้นน้ำและนำแกลบผสมหัวอาหารหมูซึ่งเป็นเหยื่อใส่เข้าไปในตุ้ม
ตุ้มทำจากไม้ไผ่สานคล้ายข้องหาปลาแต่หลักการเดียวกับลอบดักปลาคือเข้าได้แต่ออกไม่ได้ โดยชาวบ้านจะเอาสิ่งที่ปลาชอบไว้ข้างใน อ้ายลงตุ้มไว้ 2 จุดๆละ 6-7 ลูก พอตุ้มใดได้ปลาอ้ายฉีกยิ้มเพราะดีใจที่ได้โชว์ความอุดมสมบูรณ์ให้คนแปลกถิ่นเห็น
“ถ้าเขื่อนมาเราคงหาแบบนี้อีกไม่ได้ เพราะน้ำคงไม่เหมือนเดิม แค่เขาสร้างเขื่อนทางตอนล่าง ตอนนี้เราก็หากินยากเต็มที่ สมัยก่อนเคยได้วันละพันบาท ตอนนี้ปลาหายไปเยอะ หนีไปขึ้นฝั่งเขมรหมด แต่เราก็ยังพอหากินได้” เขื่อนตอนล่างที่เขาพูดถึงคือเขื่อนฮูสะโฮงซึ่งสร้างเสร็จไปเมื่อปี 2563 โดยนักลงทุนชาวมาเลเซีย แต่บริษัทก่อสร้างสัญชาติจีนและขายไฟฟ้าให้กัมพูชา
แม้เขื่อนฮูสะโฮงปิดกั้นช่องทางน้ำเพียงช่องเดียวซึ่งดูเล็กน้อยในระบบนิเวศสีพันดอนอันกว้างใหญ่กว่า 10 กิโลเมตร แต่ผลกระทบกับลึกซึ้งยิ่งเพราะเป็นช่องทางที่สำคัญของทางปลาผ่าน
ขณะที่โครงการสร้างเขื่อนภูงอยได้รับเสียงเตือนจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง(MRC) ว่าอาจทำให้เกิดน้ำเท้อ (backwater effect)กระทบข้ามแดนไปถึงจังหวัดอุบลราชธานีของไทย
“แล้วถ้าเขื่อนสร้างเสร็จอ้ายจะทำมาหากินอะไร” ผมถามเขา แต่เขาสั่นหน้าก่อนดำลงไปวางตุ้มอีกครั้ง พอโผล่ขึ้นมาก็บอกว่า “ก็คิดอยู่ว่าหาปลาไม่ได้แล้วจะไปทำอะไร”
ขณะนี้ชาวบ้านขอนแก่นเพียงรับรู้ว่า การโยกย้ายบ้านเรือนเฉพาะที่อยู่ริมน้ำไปอยู่ในที่สูงมีอยู่ประมาณ 100 หลังจากทั้งหมด 270 หลัง โดยบริษัทที่พัฒนาโครงการสร้างเขื่อนจะจ่ายค่าชดเชยให้ครึ่งหนึ่งอยู่มูลค่าซึ่งชาวบ้านมองว่าไม่เป็นธรรม
“บริษัทมาประชุมชาวบ้าน 5-6 ครั้งแล้วเป็นคนไทย พวกเราก็ไม่ได้คัดค้านการสร้างเขื่อน แต่ขอให้ชดเชยเราอย่างเป็นธรรม เราทำมาหากิน หาปลาเลี้ยงครอบครัว ถ้าเขื่อนมา เราจะหาปลาแบบเดิมได้มั้ย” เป็นคำถามที่ดังกระหึ่มในหมู่บ้านขอนแก่น แต่ไม่มีคำตอบ
วันนี้เขื่อนกั้นแม่น้ำโขงในลาวเกิดขึ้นแล้ว 2 แห่ง แต่เขื่อนที่ 3 4 5….กำลังจะผุดขึ้นตามมาโดยทุนขนาดใหญ่โดยเฉพาะทุนไทยและธนาคารพาณิชย์ไทยที่ร่วมกันบั่นสายน้ำโขงเป็นท่อนๆแล้วแบ่งปันกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสำคัญ แต่มักอ้างประเทศชาติ
ชาวบ้านนับพันนับหมื่นชุมชนริมโขงต้องล่มสลาย เพราะวิถีชีวิตที่ต้องถูกพรากจากแม่น้ำโขง เช่นเดียวกับหมู่บ้านขอนแก่น ที่กำลังถูกบังคับให้กลายเป็นผู้เสียสละร่ำไป
ในวันที่ทั่วโลกยอมรับกันว่าเขื่อนเป็นเทคโนโลยีอันล้าสมัยที่ทำลายระบบนิเวศและชุมชนอย่างรุนแรงจนหลายประเทศเริ่มทุบ-รื้อเขื่อนทิ้ง แต่ช่างน่าเศร้าใจที่เทคโนโลยีนี้กลับถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางพร้อมวาทกรรม “พลังงานสะอาด” ในหมู่ประเทศดินแดนสุวรรณภูมิที่สร้างบ้านแปงเมืองมาจากความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำ
แทนที่จะร่วมกันรักษาความอุดมสมบูรณ์ที่มีแม่น้ำเป็นศูนย์กลางนี้ไว้ กลับทำลายสิ้นเพียงเพราะต้องการตักตวงผลประโยชน์กินใช้กันแค่ชาติเดียว