ภาสกร จำลองราช

ตอนนี้ทัพใหญ่ของ SAC ที่จะมา “เอาคืน” กองกำลังฝ่ายต่อต้านที่นำโดย KNU, PDF และ BGF เคลื่อนพลถึงเลยเมืองกอกะเร็ก ห่างจากเมียวดีไม่ไกลนัก แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาถึงเมืองเมียวดี เพราะนอกจากสะพานข้ามแม่น้ำจายที่ถูกตัดขาดแล้ว ยังอาจจะมีการซุ่มโจมตีจากกองกำลังฝ่ายต่อต้าน
ขณะที่ทหารพม่า 100-200 คนยังคงหลบอยู่บริเวณคอสะพานมิตรภาพไทย-พม่าแห่งที่ 2 เพื่อรอเวลาให้กองกำลังชุดใหญ่ของ SAC มาช่วย แม้ฝ่ายไทยพยายามเปิดทางให้ข้ามแดนมาตามเงื่อนไขสากล แต่ได้รับคำปฎิเสธจากทหารกลุ่มนี้เนื่องจากหน่วยเหนือสั่งการไม่ให้วางอาวุธ
ส่วนกองกำลังฝ่ายต่อต้านก็มีความเห็นแตกต่างกันเป็น 2 ทางคือฝ่ายหนึ่งต้องการลุยให้จบๆไป แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่ควรทำเช่นนั้นเพราะจะส่งผลกระทบตามมาหลายด้านโดยเฉพาะในส่วนของ ผบ.สส.ของ KNLA และกลุ่มกองกำลัง BGF ของ พ.อ.ชิตู ที่เห็นด้วยกับการไม่ให้ลุยเพราะมีผลประโยชน์ที่สลับซับซ้อนกว่านั้น
เช่นเดียวกับฝ่ายความมั่นคงของไทยยังให้น้ำหนักไปในเรื่องผลกระทบด้านเศรษฐกิจนำหน้าเรื่องความมั่นคง ดังจะเห็นได้จากสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 จึงสามารถเปิดได้โดยเร็ว ขณะที่การแก้ไขปัญหาทหารพม่าฐานแตกยังไม่แล้วเสร็จ
โจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายกำลังจับตามองคือ “ท่าทีของไทย”จะเป็นอย่างไรต่อกรณีที่กองกำลังฝ่ายต่อต้านพยายามขจัดอิทธิพลของ SAC ให้พ้นไปจากเมืองเมียวดี
SAC ไม่ได้กลัวเกรงไทยเหมือนที่หวั่นเกรงจีน ดังนั้นการที่กองทัพพม่าจึงส่งกำลังชุดใหญ่มาลุยเมียวดีแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะเปิดศึกใหญ่เพื่อยึดเมียวดีคืนให้ได้โดยไม่สนใจประชาชนและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น แตกต่างจากกรณีที่จีนสนับสนุนกองกลุ่มกองกำลังพันธมิตรชาติพันธุ์ในนาม The Brotherhood Alliance ประกอบด้วย กองทัพโกก้าง (Myanmar National Democratic Alliance Army-MNDAA) กองทัพตะอางหรือปะหล่อง (Ta’ang National Liberation Army-TNLA) และกองทัพอาระกัน (Arakan Army-AA) ปฏิบัติการโจมตีกองทัพพม่าในชื่อ Operation 1027 มาตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม จนสามารถยึดพื้นที่ทางทหารของกองทัพพม่ากว่า 100 แห่งในรัฐฉานเหนือ ซึ่ง SAC ไม่กล้าที่จะเอาคืนหรือมีปฎิกริยาใดๆกับทางการจีน
บทบาทของไทยกำลังถูกจับตามองว่าจะให้น้ำหนักกับกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์เหมือนสมัยที่ใช้นโยบายรัฐกันชนหรือไม่
ความเป็นกลางที่ผู้นำรัฐบาลมักประกาศต่อสังคมโลก ไม่ได้ช่วยให้ความมั่นคงในแนวชายแดนไทย-พม่าดีขึ้นเลยเพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว นโยบายด้านความมั่นคงในแต่ละพื้นที่ต้องมีความยืดหยุ่นพอสมควร เพราะกองกำลังชาติพันธุ์ต่างก็มีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน
การโอบกอดความสัมพันธ์ที่ดีเลิศกับ พล.อ.มิน อ่อง หลาย และ SAC ไว้ ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาของบ้านเมืองโดยเฉพาะประชาชนในแนวตะเข็บชายแดนได้รับการแก้ไข
การส่งนักการทูตระดับรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมๆกับข้าราชการใหญ่ใกล้เกษียณ ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าทำให้ความเข้าใจสถานการณ์ลุ่มลึกขึ้นและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในทิศทางที่ควรจะเป็นประโยชน์ที่สุดได้
สถานการณ์ชายแดนแม่สอด-เมียวดีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน ถ้ารัฐบาลไทยยังคงมะงุมมะงาหราอยู่ จะพลาดโอกาสดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย