เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 ศูนย์วิจัยพหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMEP) จัดเสวนาหัวข้อ“สถานการณ์และการจัดการปัญหาเด็กไร้สัญชาติ-ลี้ภัยสงครามจากประเทศเมียนมา” โดยมี น.ส.กิติพร บุญอ่ำ หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 3 นายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล ปารมี ไวจงเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร น.ส.นุชนารถ บุญคง มูลนิธิบ้านครูน้ำ นายอิษฏ์ ปักกันต์ธร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)และ นายนเรศ สงเคราะห์สุข ผู้ประสานงานทีมสนับสนุนเชิงวิชาการ “เด็กนอกระบบการศึกษา” ศ.ดร. นงเยาว์ เนาวรัตน์ นักวิชาการด้านการศึกษา เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น
ผศ.ดร.พิสิษฏ์ นาสี หัวหน้าศูนย์วิจัยพหุวัฒนธรรมฯ กล่าวว่า ผลกระทบจากภัยสงครามในประเทศเมียนมาคือคลื่นของการอพยพเข้ามาเป็นระยะๆ ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนพบมากโดยเฉพาะด้านการศึกษาที่กระทบกับทุกระดับทางสังคมตั้งชนชั้นสูงลงมาถึงเด็กด้อยโอกาสและเด็กตามชายแดน
“เหตุการณ์ที่ชัดเจนและเคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วกับ ผอ.โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง แล้วปีนี้ที่ จ.ลพบุรี ก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำ ก็เป็นทีถกเถียงกันว่าปฏิบัติการของรัฐไทยสมควรหรือไม่สมควร จะมีแนวทางจัดการที่ชัดเจนอย่างไรในประเด็นนี้ ยังไม่รวมถึงที่ไม่ได้เป็นข่าวที่ ผมลงพื้นที่ อ.อุ้มผาง แล้วได้รับรายงานจากคลีนิกที่ทำงานสิทธิด้านสถานะบุคคล รพ.อุ้มผาง ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อุ้มผาง ไม่รู้จักข่าวที่อ่างทองและลพบุรี มีการออกนโยบายห้ามรับเด็กไร้สัญชาติที่ข้ามมาจากฝั่งพม่า มีการเรียกร้องไปยังกรรมการสิทธิมนุษยชนแล้ว เราก็คงจะได้ติดตามต่อไป” ผศ.ดร.พิสิษฏ์ กล่าว
หัวหน้าศูนย์วิจัยพหุวัฒนธรรมฯ กล่าวอีกว่า การปฏิบัติกับเด็กกลุ่มนี้ด้วยอำนาจความมั่นคงการปกครองเข้ามาจัดการ แต่มันก็ยังมีอำนาจอื่นๆที่อาจจะยังสู้ไม่ได้ หรือ Education for all ที่ไทยไปรับรองไว้ตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นสิทธิมนุษยชนระดับสากล เด็กกลุ่มนี้ควรจะมีสิทธิทางการศึกษาอย่างไร การส่งกลับใช่ทางที่ถูกต้องแล้วหรือไม่
น.ส.นุชนารถ บุญคง ผู้จัดการมูลนิธิบ้านครูน้ำ กล่าวว่า ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศและค้ามนุษย์ เด็กที่จะถูกขบวนการนี้เลือกไปขายก่อนอันดับแรกคือเด็กที่ไร้สัญชาติ เพราะเด็กไม่สามารถเรียกร้องสิทธิใดๆได้
“ ประมาณปี 2545-2546 ครูน้ำเคยเจอเด็กถูกรถชนอาการสาหัสเราพาไปโรงพยาบาล เขาบอกว่าต้องจ่ายเงินก่อนเพราะเด็กไม่มีอะไร ในขณะเดียวกันเราก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน เราไม่ได้มีเงินเยอะขนาดสามารถให้เด็กผ่าตัดได้ เราต้องหอบเด็กกลับมารักษาเองแล้วทำแบบตามมีตามเกิด เราไม่รู้หรอกว่าเราจะช่วยเด็กได้มากขนาดไหน แต่ที่เรามั่นใจคือเรื่องสิทธิเด็ก มันเป็นปฏิญญาสากล เป็นกฎหมายใหญ่ของโลก จึงเชื่อมั่นเรื่องนี้มาตลอด ตั้งแต่นั้นก็ตั้งธงเลยว่ามูลนิธิบ้านครูน้ำช่วยเหลือเคสยังไม่พอ ต้องพาเขาไปสู่ฝั่งฝันให้ได้นั่นคือการศึกษา” น.ส.นุชนารถ กล่าว
ผู้จัดการมูลนิธิบ้านครูน้ำ กล่าวด้วยว่า การทำงานช่วยเหลือเด็กกรณีต่างๆที่ผ่านมาเคยประสานกับทางหน่วยงานภาครัฐ และได้เห็นแล้วว่าการทำงานกับภาครัฐมีปัญหาด้านการสั่งการซึ่งไม่เหมาะกับชายแดนเลย แต่ถ้าหน่วยงานภาครัฐมาร่วมทำงานช่วยกันเกื้อหนุนกันเด็กกลุ่มนี้จะได้รับการคุ้มครองที่ดีกว่านี้
“ตลอด 20 ปีของบ้านครูน้ำ มีเด็ก 538 คน บอกเลยว่าไม่มีธรรมดาสักเคส ตั้งแต่เด็กเล็กถูกล่วงละเมิด ถูกตี บังคับให้เป็นขอทาน เด็กผู้หญิงในบ้านของเรากว่า 50% ถูก Abuse (ล่วงละเมิด) ขณะที่เรากำลังพยายามทำงานช่วยเหลือเด็ก สิ่งที่ทับถมเข้ามาคือเราจะถูกดำเนินคดี เราเจ็บปวดมากเพราะทำงานมา 30 ปีไม่เคยมีผลประโยชน์กับเด็ก ไม่ใช่แค่จะดำเนินคดีแต่เขายังมองว่าเราไม่ซื่อสัตย์กับประเทศไทย ทำไมคุณต้องช่วยคนต่างประเทศ ทัศนคตินี้มันฝังอยู่ในคนไทยที่ไม่เข้าใจจริงๆเรื่องสิทธิเด็ก ขณะนี้เด็กที่อยู่บ้านครูน้ำ 119 คนอยู่ในระบบการศึกษาทั้งหมด ซึ่งมันทำให้เด็กไม่ต้องไปขอทาน ไม่ต้องขายบริการ การศึกษาทั้งในและนอกระบบสามารถเชื่อมโยงยุติการค้ามนุษย์ที่ดีมาก” น.ส.นุชนารถ กล่าว
ผู้จัดการมูลนิธิบ้านครูน้ำ กล่าวว่าเมื่อโรงเรียนไม่รับเด็กไร้สัญชาติเข้าเรียน ทำให้ผู้ปกครองจูงมือเด็กมาที่มูลนิธิต่างๆ ซึ่งมูลนิธิเมื่อมาเจอกรณีที่มีปัญหาก็ต้องปิดไม่รับ แม้แต่หอพักก็ยังต้องปิด เด็กก็ต้องกลับไป
“ส่วนเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ฝ่ายสู้รบกับพม่า อย่างว้า คะฉิ่น ไทใหญ่ คนกลุ่มนี้เริ่มหวั่นใจว่าจะมีการกระชับพื้นที่ของการสู้รบ ถ้าเอาลูกหลานมาได้ก็มา ถ้ามีญาติอยู่ฝั่งนี้ก็จะมาเลย ตอนนี้หอพักที่ อ.แม่สาย เต็มหมดเพราะอพยพกันมาแล้วก็ไม่มีที่ไป เด็กพวกนี้ไม่มีที่ไปเหมือนมาหลบภัยตรงนั้น แล้วค่าเช่าหอพักก็ต้องหามาจ่าย จะเอามาจากไหน ครูน้ำมองว่าเป็นเรื่องเสี่ยงเพราะเด็กพวกนี้ก็ต้องมาหางาน
“หลายอย่างที่จะเป็นผลจากนี้ไปจะน่ากลัว อีกจุดหนึ่งที่ อ.เชียงดาว ที่ครูน้ำทำงาน มีความกังวลมาตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาแล้วคือคาสิโนที่ฝั่งลาว ขยายมาถึงเชียงของแล้วแต่คนยังไม่รู้ ม้งได้รับผลกระทบเพราะพื้นที่ที่เคยเพาะปลูกตอนนี้กลายเป็นสวนกล้วยใช้สารเคมี คนตายเยอะมากจากที่มารักษาที่ อ.เชียงแสน เด็กก็กำพร้าทางมูลนิธิเพิ่งไปรับมาตั้ง 4 คนจากโรงพยาบาล ปัญหามันไม่ใช่น้อยๆแต่ถูกปิดไว้จนสถานการณ์มันปะทุขึ้นมาผู้ปกครองหาทางออกไม่ได้ตอนนี้เลยเริ่มเป็นปัญหาใหญ่” น.ส.นุชนารถ กล่าว
ด้านนายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล กล่าวว่า ต้องจำแนกประเภทเด็กก่อนหากเป็นเด็กไร้สัญชาติหมายความว่าอยู่ในทะเบียนประวัติของรัฐบาลไทยแต่ยังไม่ได้กำหนดสัญชาติ ส่วนเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติยังไม่มีรัฐใดในโลกจดแจ้งว่าเป็นสัญชาตินั้น
“ตัวเลขเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในเมียนมา ในปี 2564 มีเด็กไร้สัญชาติประมาณ 8 หมื่นคน ปี 2565 มี 9.2 หมื่นคน และปี 2566 มี 1.3 แสนคน ที่อยู่นอกสถานศึกษาอีกเท่าไรไม่รู้ อยู่ในวัดเท่าไร สถานศึกษาไม่ได้ส่งข้อมูลเข้าไปในฐานข้อมูลกลางของกระทรวงศึกษาธิการอีกเท่าไรไม่รู้ อาจจะมากกว่าเท่าตัวก็ได้ และกลุ่มที่ 3 คือเด็กผู้ลี้ภัย ไม่มีจำนวนเพราะรัฐไทยไม่ยอมรับว่ามี ซึ่งก็เสมือนว่าไม่มีแล้วเลี่ยงไปใช้คำอื่น มีเท่าไรไม่รู้ เด็กที่อยู่ในบริบทการโยกย้ายถิ่นฐาน จำเป็นต้องแสวงหาที่พักพิงแห่งใหม่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตมีเท่าไรไม่รู้ เราอย่าจินตนาการแบบโลกสวยว่าไม่มี” นายสันติพงษ์ กล่าว
ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาการได้รับการศึกษาของเด็กและเยาวชน คือ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 เนื่องจาก 45 ปีที่บังคับใช้มาบริบทหลายๆอย่างของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านเปลี่ยนไป วันนี้คนเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตกลายเป็นคนมีความผิดตามกฎหมายคนเข้าเมือง คนให้ที่พักพิง คนนำพาก็มีความผิด แล้วให้มีโทษหนักด้วยการไปโยงกับคดีค้ามนุษย์
“เราจะเข้าไปคัดกรองกลุ่มเปราะบางผู้สูงอายุ คนพิการ เด็ก ก็ไม่ได้รับอนุญาต อีกส่วนคือช่องทางธรรมชาติชายแดนไทยกับเมียนมา 2 ฝั่ง เอาลวดหนามไปขึงก็ห้ามคนจะลักลอบเข้าเมืองไม่ได้ แล้วโรงเรียนเด็กที่เข้ามาบางคนผ่านมาแล้ว 4 โรงเรียน กว่าจะได้เรียนก็โรงเรียนที่ 5 เช่น โรงเรียนที่ 1 บอกว่ารับได้แค่ 5 คน โรงเรียนที่ 2 บอก ผอ.ไม่ให้รับ โรงเรียนที่ 4 ผอ.อาจจะรับแต่เป็นโรงเรียนกินนอนจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย สุดท้ายก็ต้องกลับออกไปเหมือนเดิม ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก” นายสันติพงษ์ กล่าว
นายอิษฏ์ ปักกันต์ธร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า บริบท ของกสศ. อาจมีเกี่ยวข้องกับเด็กๆเพียงบางส่วนกรณีที่อาจจะเป็นเด็กที่ข้ามมาแล้วต้องออกนอกระบบการศึกษา แต่ปัญหาที่พบคือการข้ามฝั่งเข้ามาไทยของเด็กไม่ได้ถูกจัดการให้เป็นกิจจะลักษณะ เมื่อมีคนเข้ามาให้การช่วยเหลือเด็กๆ แล้วถูกตรวจสอบย้อนหลังทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่ปัญหาจะกระจาย จึงควรหาทางนำประเด็นการทำงานร่วมกันมาหาข้อสรุป
“ที่เรากำลังมองว่าจะทำอย่างไรให้ข้อมูลตรงนี้ชัดเจนมากขึ้น คุยกันถึงเรื่องงานวิจัยผมคิดว่าเราไม่ได้มองแค่การเข้าออกของน้องๆที่อพยพ แต่พูดถึงกำลังคนคุณภาพในการพัฒนาประเทศร่วม หลายเมืองก็ใช้ประเด็นนี้ในการขับเคลื่อน มองแรงงานอพยพ ผู้อพยพที่เข้ามาว่าเป็นกำลังสำคัญในการทำงานพัฒนาเมือง ผมคิดว่าการทำงานในระยะยาวแบบนี้มุมมองที่เรามองคนอพยพเข้ามาเปลี่ยนไปทำให้แนวทางการทำงานเปลี่ยนแปลงไปด้วย” นายอิษฎ์ กล่าว
ด้าน ศ.ดร. นงเยาว์ เนาวรัตน์ นักวิชาการด้านการศึกษา กล่าวว่า เด็กกลุ่มที่ 3 หรือเด็กลี้ภัยที่รัฐไม่ยอมรับ เป็นกลุ่มที่วิกฤตเพราะเมื่อข้ามเข้ามาทางโรงเรียนซึ่งจำเป็นต้องรับเข้าศึกษาก็ไม่กล้าแล้วเพราะกลัวจะถูกดำเนินคดีรับเด็กเข้าเมืองผิดกฎหมาย เป็นห่วงว่าเด็กกลุ่มนี้จะถูกทอดทิ้งมากที่สุด
—————–