เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ชวรัตน์ ชวรางกูร และ ศิววงศ์ สุขทวี เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐานแห่งประเทศไทย (คปฐ.)ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับสถานการณ์ผู้อพยพหนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา โดยเนื้องหาบางส่วนระบุว่ายังมีผู้อพยพชาวเมียนมาที่ยังตกหล่นจากฐานข้อมูลของรัฐบาลไทยอยู่อีกเป็นจำนวนมากและมีความเสี่ยงต่อการถูกจับกุม กักขังและถูกส่งกลับไปสู่อันตราย พร้อมทั้งแนะรัฐบาลไทยจำเป็นต้องยึดมั่นในจุดยืนด้านมนุษยธรรม การไม่เลือกปฏิบัติ
บทความชิ้นนี้ระบุว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2564 ได้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารและกองทัพเมียนมา จนทำให้เกิดการปราบปรามกลุ่มต่อต้านฯด้วยความรุนแรง ทำให้เกิดการบาดเจ็บ บางส่วนถูกจับกุมคุมขัง และยังมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก บางส่วนเคลื่อนไหวต่อต้านด้วยอาวุธ รวมถึงกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มได้ออกมาประกาศที่จะยืนเคียงข้างประชาชนและร่วมมือต่อต้านรัฐบาลทหาร ทำให้มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (Internal Displaced People: IDPs) มากกว่า 2.5 ล้านคน โดยจำนวน 5 แสนคนอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่ชายแดนไทยและทำให้มีผู้อพยพหนีภัยความไม่สงบจากเมียนเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
ปลายปี 2566 จนถึงปัจจุบัน สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาได้ทวีรุนแรงมากขึ้นในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศจนทำให้มีผู้หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดนอพยพเข้ามาลี้ภัยเป็นการชั่วคราวอย่างต่อเนื่อง ความไม่สงบที่เกิดขึ้นทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรฐกิจของประเทศเมียนมา หลายธุรกิจปิดตัวลง การลงทุนต่างประเทศลดลง อัตราว่างงานเพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนชาวเมียนมามีความยากลำบากในการหางานและสร้างอนาคตที่มั่นคง
นอกจากนี้การจำกัดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน การปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในเมียนมา ทำให้เกิดนักเรียนนักศึกษาขาดการศึกษาที่ต่อเนื่องประกอบกับรัฐบาลทหารเมียนมาประกาศใช้กฎหมายบังคับการเกณฑ์ทหารทำให้มีหนุ่มสาวชาวเมียนมาจำนวน 14 ล้านคนเข้าข่ายถูกบังคับเกณฑ์ทหาร จนทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ว่ามีนักศึกษาและประชากรวัยทำงานชาวเมียนมาจำนวนมากเดินทางเข้ามาแสวงหาความปลอดภัย ศึกษาต่อหรือหาโอกาสทางเศรฐกิจในประเทศไทยและในอีกหลายประเทศทั่วโลก และวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทหารพม่าออกคำสั่งห้ามไม่ให้ชายวัยเกณฑ์ทหารเดินทางออกมาทำงานในต่างประเทศ
ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยพยายามอย่างยิ่งที่จะลดการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยที่ผ่านช่องทางธรรมชาติโดยการทำข้อตกลง (MOU) กับประเทศเพื่อนบ้านนำเข้าแรงงานเข้ามาในประเทศ พร้อมกับการลดการอนุญาตผ่อนผันในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง กำหนดเงื่อนไขให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับการผ่อนผันต้องเดินทางกลับไปพิสูจน์สัญชาติและดำเนินการขออนุญาตเข้ามาทำงานตามข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านที่ในที่สุด หวังว่าจะลดการหลบหนีเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติตามแนวชายแดนได้ในที่สุด แต่ความจริงสถานการณ์ในประเทศเมียนมากลับมีความไม่สงบมากกว่าเดิมและสร้างแรงกดดันให้ชาวเมียนมาต้องเดินทางออกมาผ่านช่องทางธรรรมชาติเพิ่มมากขึ้น
ผู้เขียนได้จำแนกผู้อพยพชาวเมียนมาในประเทศไทยและชาวเมียนมาที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงความเปราะบางและความเสี่ยงหลักที่พวกเขาต้องเผชิญในประเทศไทยเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจดังนี้ 1.กลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบ (ผภร.) ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง: มีจำนวน 70,000 – 80,000 คน อพยพเข้ามาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี โดยคนกลุ่มนี้ไม่มีสถานะทางกฎหมาย ไม่มีสิทธิในการทำงาน เสี่ยงต่อการถูกจับกุม กักขัง หากออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีโอกาสได้ศึกษาในหลักสูตรไทยทำให้ยากต่อปรับตัวเข้าสู่สังคมไทย (local integration)
2. กลุ่มผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภ.สม.): ที่ผ่านมามีจำนวนหลักพันถึงหลักหมื่นแล้วแต่สถานการณ์ในพื้นที่ อพยพเข้ามาภายหลังปี พ.ศ. 2564 โดยเข้ามาเป็นระลอกและอยู่ในพื้นที่ที่รัฐจัดให้ แนวโน้มการย้ายถิ่นมีลักษณะเป็นการชั่วคราว โดยเมื่อสถานการณ์ในพื้นที่สงบลงก็จะเดินทางกลับประเทศเมียนมา
3. กลุ่มผู้หนีภัยทางการเมืองที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยภายหลังรัฐประหารในเมียนมา ส่วนมากเป็นที่ต้องการตัวของรัฐบาลทหารเมียนมา ภาคประชาสังคมประมาณการณ์ว่ามีจำนวนมากกว่า 20,000 คน
4. กลุ่มผู้หนีภัยจากสภาพเงื่อนไขทางเศรษฐกิจโดยแฝงตัวอยู่ในผู้อพยพมากกว่า 2.3 ล้านคนที่เข้ามาเป็นแรงงานในประเทศ อยู่ภายใต้แนวนโยบายการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของกระทรวงแรงงานที่ยังคงยึดตามข้อตกลงการนำเข้าแรงงานระหว่างประเทศ (MoU) กับรัฐบาลทหารเมียนมา
5. กลุ่มผู้หนีภัยชาวเมียนมาที่อยู่อาศัยและทำงานในประเทศหรือศึกษาต่อ โดย กลุ่มชาวเมียนมาที่อยู่อาศัยและทำงานในประเทศที่อาจจะสูญเสียสถานนะอยู่อาศัยในไทย ซึ่งบางส่วนก็จะอยู่ร่วมกับกลุ่ม 3 และกลุ่ม 4 ที่เป็นผู้หนีภัยทางการเมือง เป็นผู้หนีภัยทางเศรษฐกิจ นักเรียนนักศึกษาและกลุ่มที่ได้รับอนุญาตทำงานประเภททักษะวิชาชีพอื่นๆ โดยคาดว่าจะมีจำนวนมากถึง 1.5 ล้านคนที่น่าจะอยู่นอกระบบการจัดการของไทย
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่มีแนวโน้มจะอพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันและอนาคตอีก เช่น กลุ่มผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ กลุ่มที่กำลังหนีการบังคับการเกณฑ์ทหาร กลุ่มเปราะบางที่มีสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติในประเทศต้นทาง เช่น ชาวโรฮีนจา ที่เสี่ยงต่อการกลายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมถึงผู้เสียหายจากธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน
บทความระบุว่า จากสถานการณ์การสู้รบในเมืองเมียวดีที่ผ่านมาทำให้มีประชาชนชาวเมียนมาอพยพหนีตายเข้ามายังฝั่งไทยในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตากและพื้นที่ใกล้เคียงโดยรัฐบาลไทยประกาศเตรียมแผนรองรับผู้อพยพจากเมียนมาได้ถึง 100,000 คน โดยศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมาได้ชี้แจงว่ามีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวประเทศเมียนมา (ผภ.สม.) จำนวนกว่า 3,000 คน เข้ามาขอพักพิงในประเทศไทยและได้เดินทางกลับไปจนเกิอบทั้งหมดแล้ว โดยเหลือเพียง 77 คน ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว อำเภออุ้งผาง โดยที่ไม่รวมชาวเมียนมามากกว่า 10,000 คน ที่ข้ามชายแดนเข้ามาโดยใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวที่มีอายุ 7 วัน
“ เฉพาะหน้า รัฐบาลไทยจะต้องเร่งรัดการบริหารจัดการผู้อพยพหนีภัยจากประเทศเมียนมาที่เข้าประเทศไทย บนพื้นฐานหลักการมนุษยธรรม ความต้องทางด้านเศรษฐกิจ และประชากรของสังคมไทย โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย พิจารณาเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้ความเห็นชอบอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการอนุญาตสิ้นสุดลงและมีความจำเป็นที่ต้องทำงานเลี้ยงชีพ หรือศึกษา ให้อยู่อาศัยและทำงานได้เป็นการชั่วคราว เพื่อเข้าสู่การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและตอบสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ”บทความระบุ
ในบทความได้ระบุว่า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องพิจารณาผู้อพยพหนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาและชาติอื่นๆอย่างละเอียดรอบด้านตามกรอบการจัดการของรัฐที่มีอยู่เดิมและสถานการณ์ใหม่ที่อุบัติขึ้น ดังต่อไปนี้
1. กลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบ (ผภร.) ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง
2. กลุ่มผู้อพยพหนีภัยความไม่สงบทางการเมืองและการบังคับเกณฑ์ทหารชาวเมียนมา
3. กลุ่มผู้หนีภัยทางเศรฐกิจชาวเมียนมา
4. กลุ่มผู้ติดตามผู้หนีภัย เช่น คู่สมรสและเด็กผู้ติดตามอายุไม่เกิน 18 ปี
5. กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่อยู่ระหว่างการศึกษาในสถานการศึกษาของรัฐ สถานศึกษาเอกชน สถานดูแลเด็กขององค์กรภาคประชาสังคม
6. กลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่อยู่อาศัยและทำงานในปัจจุบันที่การอนุญาตกำลังสิ้นสุดลงและมีความเสี่ยงจะเผชิญอันตรายหากเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติกับประเทศต้นทางหรือไม่สามารถดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแล้วเสร็จ
7. กลุ่มเด็กต่างชาติที่ต้องได้รับการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ
8. กลุ่มคนต่างด้าวที่มีความเปราะบางต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ถูกควบคุมตัวไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ
บทความระบุว่า รัฐบาลไทยอาจต้องสร้างทางเลือกที่สอดคล้องผลประโยชน์ของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของรัฐบาลทหารเมียนมา ด้วยการนำแนวทางการผ่อนปรนเพื่อเข้าสู่กระบวนการพัฒนาสถานะของคนต่างด้าวที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้เป็นการชั่วคราว โดยไม่กำหนดให้จำเป็นต้องเดินทางกลับไปประเทศต้นทางเพื่อพิสูจน์สัญชาติ และเมื่อปรับตัวเข้าสู่สังคมไทยมากขึ้นก็อาจจะยื่นขอสิทธิอยู่อาศัยระยะยาวในประเทศไทยได้ต่อไป
ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องผ่อนปรนเงื่อนไขแรงงานที่พยายามเดินทางเข้ามาตามข้อตกลงระหว่างประเทศด้วยการขยายอายุเวลาที่อนุญาตทำงานมากขึ้น ลดค่าธรรมเนียม ยกเลิกอาชีพต้องห้ามและอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ก็มีความจำเป็นที่อาจต้องพิจารณากำหนดให้การปรับตัวเข้าสู่สังคมไทยเป็นส่วนหนึ่งของการขอต่ออายุการอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำงานในอนาคตต่อไป
“ทุกวันนี้เราต้องไม่โกหกตัวเองเพราะยังมีชาวเมียนมากว่า 4 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดย 2.3 ล้านคน ได้รับการอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำงานในฐานะแรงงานต่างด้าว ขณะที่ชาวเมียนมากว่า 1.5 ล้านคนยังคงมีปัญหาสถานะทางกฎหมาย หลายคนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องแต่วีซ่าที่อนุญาตให้อยู่ได้หมดอายุไปแล้ว อีกหลายคนอาจเดินทางเข้ามาในประเทศไทยตามช่องทางธรรมชาติ พวกเขาจำนวนมากเป็นคนรุ่นใหม่ ที่เป็นนักเรียน นักศึกษา เป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นครู เป็นผู้มีทักษะวิชาชีพที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย หากเราจะเลือกการดำเนินนโยบายบนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมและผลประโยชน์ของสังคมไทยในระยะยาว”บทความระบุ
——–