ภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 รับทราบรายงานของคณะกรรมการวิสามัญเรื่องการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมผลักดันในเรื่องนี้ และมอบให้กระทรวงการคลังศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมใน 30 วัน
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาการพนัน
สำนักข่าวชายขอบได้สัมภาษณ์ รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนันแห่ง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ปิ่นแก้ว เหลืออร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งทำวิจัยและเขียนหนังสือเรื่องทุนนิยมคาสิโน และกำลังวิจัยเรื่อง “เขตเศรษฐกิจพิเศษข้ามชาติจีนในอาเซียน: ทุนเปลี่ยนรูป, ปฏิบัติการของโครงสร้างพื้นฐานและขุมข่ายเศรษฐกิจหลากขนาด”
รศ.นวลน้อย กล่าวว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าต่อ ต้องทำแผนลงไปในรายละเอียดว่าจะมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง เพราะเงื่อนไขที่ตั้งไว้ในปัจจุบันน้อยมาก หลายๆ อย่างใช้วิธีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แสดงว่าประชาชนไม่ได้เห็นอะไรเลย มีการพูดถึงกติกาบางอย่าง บางข้อแบบกว้างๆ ในร่างกฎหมายที่แนบไว้ ซึ่งหมายถึงเรื่องกาสิโน แต่ในหลายๆ เรื่องก็บอกให้คณะกรรมการเป็นคนจัดการ แล้วก็ยังมีการกำหนดจำนวนกาสิโนอีกประมาณ 20 กว่าแห่ง ซึ่งในแอฟริกาใต้เคยทำแบบนี้มาก่อน คือเปิดเยอะมาก แต่ตอนหลังปัญหาอาชญากรรมพุ่งจนต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไล่ปิดกาสิโน
รศ.ดร.นวลน้อยยกตัวอย่างสถานบันเทิงครบวงจรในประเทศเพื่อนบ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องบ่อนกาสิโน เช่น คิงส์โรมันใน สปป.ลาว หรือสีหนุวิลล์ในกัมพูชา แม้จะมีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่สวยงาม แต่เมื่อผลักดันกาสิโนถูกกฎหมายเป็นประเด็นหลักกลับไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตามเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ แต่ดึงดูดกลุ่มอาชญากรข้ามชาติและกลุ่มธุรกิจสีเทาทั้งหลายเข้ามาแทน
“ย้อนกลับไปดูรอบบ้านเราก่อน กาสิโนรอบบ้านเราเจ๊งระเนระนาด แล้วก็กลายเป็นแหล่งของการหลอกลวงเพื่อนบ้านและย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ตรงแถวสระแก้วก็เป็นปัญหาเดียวกัน กลายเป็นว่าในพื้นที่ตึกที่สร้างเป็นกาสิโนมีแค่บางชั้นที่ให้บริการกาสิโน เดี๋ยวนี้ถ้าเป็นออนไซต์ก็น้อยมาก กลายเป็นออนไลน์ และบางชั้นกลายเป็นสถานที่สำหรับศูนย์แห่งการฉ้อโกงหลอกลวงทั้งหลาย”รศ.นวลน้อยกล่าว
(อ่านรายละเอียดในสัมภาษณ์พิเศษ อ.นวลน้อยใน https://transbordernews.in.th/home/?p=38872 )
“โดยทั่วไปกาสิโนที่เปิดแล้วมุ่งไปที่คนในประเทศ จะต้องมีการจัดการเรื่องปัญหาที่เป็นผลกระทบจากการพนันเยอะมาก หากว่าเป็นนักท่องเที่ยว ปัญหาอะไรที่เกิดขึ้น นักท่องเที่ยวก็จะเอากลับไปบ้านตัวเอง เช่น ติดพนัน มีปัญหาเรื่องการเงิน ก็จะเป็นปัญหาที่บ้านตัวเอง แต่ของเราถ้าเราดึงคนในประเทศมาเข้ากาสิโน ปัญหานี้จะเป็นปัญหาภายในประเทศที่เราต้องจัดการ เรื่องพวกนี้จะจัดการอย่างไรภายใต้หนี้ครัวเรือนที่สูงมากๆ”รศ.นวลน้อย กล่าว
ศ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ชอบอ้างโมเดลสิงคโปร์กับมาเลเซีย แต่ถ้าไทยทำแนวโน้มที่ไทยจะเป็นก็จะเป็นฟิลิปปินส์กับกัมพูชาแน่ๆเพราะว่าการบังคับใช้กฎหมายหรือปัญหาที่คาราคาซังยังจัดการกันไม่ได้ คือแนวโน้มของไทยน่าจะเดินตามฟิลิปปินส์กับกัมพูชาซึ่งจะทำพวกนี้ต้องไปศึกษาบทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน
“การทำคาสิโนไม่ใช่เรื่องใหม่ ทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ลองทำกันมามันก็คิดสั้นแบบไทยหรือรัฐบาลไทยคิดสั้นแบบเขา แล้วมันล้มเหลวทั้งในฟิลิปปินส์และกัมพูชา วิธีการต้องการรวยทางลัดมันมีบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่อยากจะเตือนก็คือเป็นที่รู้กันอยู่แล้วลูกค้าใหญ่การพนันคาสิโนคือจีน เนื่องจากจีนแบนคาสิโน กลุ่มทุนคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียก็กลุ่มทุนจีนทั้งเทาและไม่เทา สิ่งที่จะเกิดขึ้นเหมือนกับฟิลิปปินส์และกัมพูชา” ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว
ศ.ปิ่นแก้ว กล่าวว่า ทุนจีนสีเทามองไทยเป็นโลเคชั่นใหญ่อยู่แล้ว แต่เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คือไทยไม่เปิดให้มีโครงการทำนองนี้ทุนจีนสีเทาจึงไปลงที่ประเทศเพื่อนบ้าน
“เมื่อไหร่ที่ไทยเปิดมันจะรุมเข้ามาแน่ๆ ยิ่งเปิดแบบถูกกฎหมายด้วยแล้วคุณจะสกรีนอย่างไรว่าเทาไม่เทา แพทเทิร์นเดียวกันก็จะเกิดขึ้นภายในเวลา 4-5 ปี กลายเป็นแหล่งฟอกเงินผิดกฎหมายค้ายา ค้าประเวณีเผลอๆค้าอวัยวะ อยู่ที่ว่าจะไปเปิดที่ไหน ถ้าเปิดชายแดนก็ยิ่งง่ายต่อการเดินทางขนส่งธุรกิจผิดกฎหมายพวกนี้ กัมพูชาก็เหมือนเดินตามรอยฟิลิปปินส์ สุดท้ายฮุนเซนก็สั่งปิด ทุนจีนก็แตกกระจายหนีมาทางฝั่งพม่า เรากำลังจะกลายเป็นแหล่งการลงทุนถัดไปอย่างนั้นเหรอ ต้องคิดให้ถี่ถ้วนเพราะว่าเงินที่จะได้มามันได้สั้น เร็วแล้วมันก็แลกกับการที่เราจะกลายเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมข้ามชาติ ตอนนี้แม้ธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เรายังปราบไม่หมดเลย นี่จะเชิญให้อาชญากรรมมาตั้งในใจกลางประเทศเลยหรือ มันน่าเป็นห่วงอย่างมาก” ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเทศไทยมองโครงการลักษณะนี้ของสิงคโปร์เป็นแบบอย่างได้หรือไม่ ศ.ปิ่นแก้วกล่าวว่า “เราทำไม่ได้หรอก อย่าไปฝันหวานว่าจะเป็นแบบสิงคโปร์ เขามีกระบวนการคัดกรองแน่นหนาแล้วมีระบบสกรีน ที่สำคัญคือเขาไม่มีคอร์รัปชั่น ไม่มีรับส่วย เราจะไปเป็นแบบสิงคโปร์ได้อย่างไร แค่คิดก็ผิดแล้ว เราไม่เคยทำอะไรแบบสิงคโปร์ได้เขาเป็นประเทศที่บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด มีวินัย ไทยมันไม่ใช่ ไทยยังแก้ระบบส่วยไม่ได้แล้วจะมาเปิดทางให้ระบบส่วยทำงานได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แค่คิดก็น่ากลัวมากแล้ว ยังไม่อยากจินตนาการว่าทุนจีนสีเทาเอาคนงานเข้ามาเป็นแสนในประเทศเราจะรับไหวเหรอ แบบนี้ไใเกิดในสิงคโปร์ ไทยทำโดนแน่นอน” ศ.ปิ่นแก้ว กล่าว
(อ่านรายละเอียดสัมภาษณ์พิเศษ ศ.ปิ่นแก้ว https://transbordernews.in.th/home/?p=38877 )
—————
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.