เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้จัดเวทีระดมความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า (PDP2024) พร้อมเสวนาเรื่อง “เขื่อน โรงไฟฟ้ากับแผนพลังงาน คนอีสานว่าจังได๋?” เพื่อจัดทำข้อเสนอต่อภาครัฐจากภาคประชาชนชาวภาคอีสาน โดยมีผู้เข้าร่วมจากชุมชนริมแม่น้ำโขง นักวิชาการ นักศึกษา ภาคประชาสังคม ประมาณ 60 คน
นส.สฤณี อาชวนันทกุล หัวหน้าโครงการวิจัยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรม และหัวหน้าโครงการ Fair Finance Thailand กล่าวว่า มีตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังงาน คือ 100, 15 และ 00 เราจะเห็นว่า ปลายของแผนพัฒนาพลังไฟฟ้าจะมีกำลังไฟฟ้าสำรองเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ เหตุผลคืออะไร? ทำไมต้องเยอะขนาดนี้ ตัวเลข 15 % คือไฟฟ้า 3,500 เมกะวัตต์ จากเขื่อนใหม่ในลาว โดยแม่น้ำโขงทราบว่ามีเขื่อนมากมาย คำถามคือ เราจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องซื้อไฟฟ้าเข้ามาเพิ่ม ทำไมหลายเขื่อนไม่สามารถปรับปรุงสัญญารับซื้อไฟเพิ่มได้ เขื่อนรุ่นเก่าราคาซื้อถูก ประมาณ 1.90 บาท (ต่อหน่วย) แต่เขื่อนใหม่ๆ ที่ยังไม่เดินเครื่องคือ 2.90 บาท แพงกว่าราคารับซื้อโครงการจากพลังงานแสงอาทิตย์บวกแบตเตอรี่ที่รับซื้อจากเอกชน สำหรับเลขที่เป็นศูนย์คือ ในร่างแผนพีดีพีที่จะรับซื้อพลังงานจากหลังคาบ้านแต่ไม่มีแผนที่จะรับซื้อเลย ความจริงของโลกเน็ตซีโร่ (Net Zero) คือการต้องพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด แต่ทำไมเราต้องไปยืมพลังงานแหล่งอื่นหรือยืมจมูกเขาหายใจ
“เช่น เขื่อนหลวงพระบาง (บนแม่น้ำโขง) ลงทุน 1.5 แสนล้านบาท เฉลี่ยต้นทุนเมกะวัตต์ละ 100 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้มันไปเป็นมูลค่าความเดือดร้อนของประชาชนมากแค่ไหน สถานการณ์คือเราจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าอยู่” นส.สฤณี กล่าว
ดร.ธีรวุฒิ ไชยธรรม อาจารย์คณะวิศกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า เช่น ถ่านหินลิกไนต์ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงแต่ต้นทุนถูก ขณะที่พลังงานน้ำ พลังแสงอาทิตย์ มีผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อย วิธีการคิดคือ การหาจุดสมดุลและจะใช้เทคโนโลยีกรีน (สีเขียว) จริงๆ จะต้องมีต้นทุนที่สูงมาก ค่าไฟอาจจะแพงกว่านี้ กรณีก๊าซธรรมชาติของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อยู่ที่ต้นทุน 3 บาทต่อหน่วย ต้นทุนของ RE (พลังงานหมุนเวียน) คือ 5.5 บาท แผนพีดีพี 2024 ภาพรวมคือ จาก 3 ด้านที่เป็นนโยบายทั้งความมั่นคงของระบบ ราคาเหมาะสมและยั่งยืน ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในเชิงนโยบายถือว่าดี แต่ข้างในของแผนคืออะไร อันดับแรกปี 2566 ใช้ไฟฟ้า 2 แสนล้านหน่วย กฟผ. สามารถผลิตได้ 6.7 หมื่น ล้านหน่วย ที่เหลือเป็นการผลิตของเอกชน (IPP) ซึ่งถือการผลิตเยอะมาก สิ่งที่รัฐกำกับอยู่แต่มีสัดส่วนน้อยกว่าของผู้ผลิตเอกชน อำนาจในการกำกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะเป็นอย่างไร หน่วยงานที่รัฐกำกับและดูแลได้ต้องมีสัดส่วนที่จัดการได้มากที่สุด
อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์กล่าวอีกว่า ข้อเสนอของแผนพีดีดี2024 ในปี 2580 จะมีโรงไฟฟ้าพลังงานร่วมและนิวเคลียร์ และรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ มีกำลังการผลิต 28,000 กว่าเมกะวัตต์ แต่ความต้องการสูงสุด ประมาณ 10,000 เมกะวัตต์ หากกำลังการผลิตอยู่ในมือเอกชนจะไม่สามารถจัดการพลังงานได้และปล่อยให้เอกชนมีอำนาจมากกว่า ทางออกคือต้องทบทวนการจัดสรรพลังงานสะอาดให้ดี สัดส่วนของกฟผ.จะต้องมากกว่าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน กรณีโซลาร์ลอยน้ำเขื่อนสิรินธร เป็นของเอกชน อำนาจในการต่อรองของรัฐจะไม่มี ต้องถามว่าความมั่นคงของใคร เขาจะอ้างว่าเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง
นายไพบูลย์ จงสุวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัทยิ่งยง มินิมาร์ท เจ้าของลิขสิทธิ์ทำร้านสะดวกซื้อเซเว่นใน 4 จังหวัดอีสาน 237 สาขา ซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ กล่าวว่าบริษัทใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 20 กว่าปีแล้ว เห็นว่าเป็นต้นทุนถูกและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมที่ดีสุด แต่ก่อนต้นทุน (พลังงานแสงอาทิตย์) อาจจะสูงมาก แต่ 10 กว่าปีมานี้ต้นทุนถูกลง แต่ประเทศเราไม่สนับสนุนให้เอกชนหรือประชาชนใช้แสงอาทิตย์ และจะใช้ก็ได้แต่ขออนุญาตนานจนลืมไปเลย ที่
น.ส.สดใส สร่างโศรก ตัวแทนกลุ่มจับตาน้ำท่วมอุบลและเขื่อนภูงอย กล่าวว่ากรณีเขื่อนไฟฟ้า ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและชีวิตของชุมชน พิสูจน์ชัดเจนว่าเขื่อนนั้นต้นทุนสูงมาก ทั้งเขื่อนปากมูล เขื่อนสิรินธร และเขื่อนบนแม่น้ำโขงที่ไปสร้างในลาวแต่ส่งผลกระทบต่อคนไทย คนอุบลยังเจอโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทั้งๆที่มีทางเลือกพลังงานหมุนเวียนอื่น แต่กลับไม่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้
“แผนพีดีพีระบุชัดเจนว่าจะมี โครงการเขื่อนภูงอย ปากชม ฯลฯ หากมีเขื่อนภูงอยที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงในลาว น้ำโขงจะเท้อขึ้นมาในเขตแม่น้ำมูล จ.อุบล อีก 4 เมตร เมืองอุบลจะถูกน้ำท่วมถาวรแน่นอน”น.ส.สดใส กล่าว
ขณะที่ผู้แทนกลุ่มพลังงานภาคประชาสังคม JustPow ระบุว่า ในร่างแผน PDP2024 ที่วางแผนซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากต่างประเทศ 3,500 เมกะวัตต์ 3 โครงการในปี 2578-2580 ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนลาว จึงควรถูกตั้งคำถามทั้งในเรื่องความมั่นคงทางพลังงานจากการที่ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากต่างประเทศ ซึ่งราคาสูงและสูงว่าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภายในประเทศ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด รวมไปถึงการที่ต้องสร้างเขื่อนใหม่ที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมาในอนาคต ปี 2566 กำลังการผลิตตามสัญญาที่มาจากเขื่อนในลาว 4,501.90 เมกะวัตต์ จากเขื่อน 10 โครงการ และยังมีอีก 4 โครงการที่ลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.รวมกำลังการผลิตตามสัญญา 3,469.30 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำส่วนใหญ่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าผูกมัดกับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 20-35 ปี
“ราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวระยะหลังสูงขึ้นมาก ข้อมูลประมาณการค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. งวดพฤษภาคม -สิงหาคม 2567 ราคาไฟฟ้าของเขื่อนลาวที่เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบก่อนปี 2561 อยู่ระหว่าง 1.70 บาทต่อหน่วย – 2.10 บาทต่อหน่วย ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบหลังปี 2561 เป็นต้นมา มีราคาระหว่าง 2.08 บาทต่อหน่วย (ไซยะบุรี) – 2.82 บาทต่อหน่วย ส่วนโครงการที่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง หรืออยู่ระหว่างก่อสร้าง แต่ทางการไทยอนุมัติแล้ว เช่น โครงการเขื่อนปากแบง ราคา 2.92 บาทต่อหน่วย แพงกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ราคา 2.17 บาทต่อหน่วย – 2.83 บาทต่อหน่วย”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากการระดมความคิดเห็นของประชาชนวันนี้ จะมีการนำข้อเสนอของคนอีสานไปร่วมแลกเปลี่ยนกับตัวแทนประชาชนในภาคอื่นๆที่ได้มีการจัดเวทีมาแล้ว ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ที่หอศิลป์กรุงเทพฯมหานคร เพื่อรวบรวมความเห็นของประชาชนต่อร่างแผนพีดีพี 2024 และจะยื่นต่อรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและรัฐบาลต่อไป
———–