เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 องค์กรภาคประชาสังคม อาทิ กลุ่มรักษ์เชียงของ กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง และเครือข่ายประชาชนไทยเพื่อแม่น้ำโขง มูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ได้ส่งหนังสือถึงธนาคารพาณิชย์ 18 แห่ง เรื่องขอให้พิจารณาระงับการให้สินเชื่อในโครงการก่อสร้างเขื่อนปากแบง (Pak Beng Hydropower Project) ที่ไม่มีการเปิดเผยการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน การวิเคราะห์ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ วิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนในเขตประเทศไทย รวมถึงการจัดทำมาตรการป้องกันและลดผลกระทบที่เกี่ยวข้อง
หนังสือดังกล่าวระบุว่า โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำปากแบ่ง โดย บริษัท ปากแบ่งพาวเวอร์ จำกัด จะตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนไทย ที่แก่งผาได อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ประมาณ 96 กิโลเมตร บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 โดยมีเงื่อนไขให้ บริษัทฯ ต้องดำเนินการลงนามสัญญาสินเชื่อกับสถาบันการเงิน รวมทั้งการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดนั้นตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
“ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา กลุ่มรักษ์เชียงของและเครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำโขง มีข้อทักท้วงต่อรายงานการศึกษาที่มีความบกพร่องไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคมชุมชนอย่างรุนแรงในเขต อ.เวียงแก่น อ.เชียงของ อ.ขุนตาล อ.เทิง จ.เชียงราย จากระดับน้ำเท้อของอ่างเก็บน้ำเขื่อนปากแบง ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงด้านอุทกวิทยาและชลศาสตร์ ของแม่น้ำโขงในพื้นที่ของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบต่อการอพยพของปลาและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเขตแดนระหว่างประเทศ ไทย-ลาว บนแม่น้ำโขงนั้น ซึ่งถึงแม้ว่าโครงการเขื่อนปากแบ่ง จะได้ผ่านกลไกการพิจารณาภายใต้คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และมีแผนปฎิบัติการร่วม (Join Action Plan-JAP) แล้วก็ตาม หากแต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฎว่ามีการศึกษาเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบในทุกๆ ด้าน ที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนและระบบนิเวศแม่น้ำโขงในฝั่งประเทศไทยและเปิดเผยต่อสาธารณะ”หนังสือระบุ
ในหนังสือยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมามีรายงานความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ ต่อรายงานการศึกษาโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบ่ง อาทิเช่น สำนักพัฒนาแหล่งน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ, สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, กรมชลประทาน, กรมประมง, กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งได้ระบุถึงความไม่สมบูรณ์ทางวิชาการของรายงานต่างๆที่จัดทำโดยบริษัทเจ้าของโครงการ ไม่มีการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะไม่มีการวิเคราะห์ระดับน้ำเท้อที่จะส่งผลกระทบต่อลุ่มน้ำงาว และลุ่มน้ำอิง ลำน้ำสาขาแม่น้ำโขง มีการใช้ข้อมูลด้านอุทกวิทยา (การไหลและระดับน้ำแม่น้ำโขง) และข้อมูลตะกอนที่เป็นข้อมูลเก่าในปี 2553 ไม่สะท้อนข้อเท็จจริงของแม่น้ำโขงในปัจจุบัน การประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนไม่ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการเขื่อนปากแบงโดยตรง
“ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ.กับบริษัท ปากแบ่งพาวเวอร์ นั้น ได้ระบุเงื่อนไขให้บริษัทฯ ต้องจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ก่อนการเริ่มต้นก่อสร้างเขื่อน ซึ่งการดำเนินการจัดทำรายงานการศึกษานี้ เป็นเพียงเงื่อนไขภายในระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น รวมถึงรายงานฯ ดังกล่าวนี้ ไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายใด ๆ ของทั้ง สปป.ลาว และประเทศไทย ดังนั้นรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน จึงไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ในทางสาธารณะ และชุมชนที่ได้รับผลกระทบข้ามพรมแดนในประเทศไทย” เนื้อหาในหนังสือระบุ
นายมนตรี จันทวงศ์ กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง และผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าเหตการณ์น้ำท่วมในเขตจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขงทั้งน้ำอิง น้ำงาว น้ำกก และน้ำรวก ในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567 เป็นสิ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงความเสียหายต่อทรัพย์สิน พื้นที่เกษตรกรรม บ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนที่ยังไม่สามารถฟืนฟูได้ หากมีการดำเนินการโครงการเขื่อนปากแบงในอนาคต ยิ่งจะนับเป็นปัจจัยสำคัญสำคัญที่ประชาชนในพื้นที่จะต้องเผชิญความเสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมในอนาคต
“ความจำเป็นด้านพลังงานไฟฟ้านั้น ในปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 50,625.30 เมกะวัตต์ โดยในปี 2567 มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567 มีค่าเท่ากับ 36,477.80 เมกะวัตต์ ซึ่งยังมีกำลังการผลิตเหลือในระบบอีกมากถึง 14,147.50 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 30 % ดังนั้นปริมาณไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบ่งในอนาคต จะกลายเป็นภาระต้นทุนการสำรองไฟฟ้าที่ไม่ใช้ก็ต้องจ่ายโดยผู้ใช้ไฟฟ้าไทยทั้งประเทศ”นายมนตรี กล่าว
นายมนตรีกล่าวว่า ขอให้สถาบันการเงินได้พิจารณาระงับการให้สินเชื่อในโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนปากแบ่งนี้ออกไปก่อน จนกว่าจะมีการจัดการศึกษาที่เป็นไปตามกรอบกฎหมายสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย โดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนที่ได้จะได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมเพื่อสร้างหลักประกันความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมให้สอดคล้องกับหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติว่าด้วย การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การเคารพสิทธิมนุษยชน และการเยียวยาที่ธนาคารได้ประกาศเป็นนโยบายต่อสาธารณะแล้ว