เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุมหมอกคำ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย สถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่น้ำของ กลุ่มรักษ์เชียงของ เครือข่ายนักวิชาการแม่น้ำโขง (MAC) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และอำเภอเชียงของ ได้จัดประชุม “สามทศวรรษแห่งการพัฒนาสมัยใหม่ : บทเรียนในการปกป้องแม่น้ำโขง” โดยมีผู้ร่วมเสวนากว่า 120 คน
ทั้งนี้ผู้ร่วมเสวนามีด้วยกันหลากหลาย อาทิ นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว (ครูตี๋) ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ น.ส.พุทธิกุล ทองเนื้อสุข สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รศ. ชัยยุทธ สุขศรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ สื่อมวลชนอิสระ ผศ.นัทมน คงเจริญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายวิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย น.ส.จ๋ามตอง มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF) และ น.ส.รวินทร์นิภา การินทร์ กองความมั่นคงกิจการชายแดนและประเทศรอบบ้าน
นายนิวัฒน์ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำและภัยพิบัติในอดีต พ.ศ.2509 เป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ ตนอายุประมาณ 7-8 ขวบ ความเสียหายอดีตไม่มาก เกิดอุทกภัยหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ. 2512 และ 2514 แต่ไม่รุนแรงเท่าปัจจุบัน จะเห็นว่าประมาณ 3 ทศวรรษ น้ำโขงเริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะโครงการขนาดใหญ่และความต้องการพลังงาน ตั้งแต่ ปี 2538 เกิดกรอบข้อตกลงความร่วมมือแม่น้ำโขง ได้เห็นชัดเจนในความเปลี่ยนแปลงแม่น้ำโขง
“ผมเป็นคนเชียงของ เกิด เติบโต และอาศัยอยู่ที่นี่ ในปี พ.ศ. 2538-39 เริ่มมีการก่อสร้างเขื่อนแม่น้ำโขง น้ำโขงแห้ง ปี พ.ศ 2542 ที่สำคัญคือการสร้างเขื่อนจิ่งหง ที่เมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา ใกล้ชายแดนไทย ปรากฎการณ์น้ำท่วมเริ่มชัดในปี พ.ศ. 2551 ฝนตกพื้นที่แม่โขงตอนล่าง แต่ไม่เท่าปีนี้ น้ำข้างบนเขื่อนเพิ่มอีกระดับน้ำท่วมสูงกว่าปีนี้ แต่ความเสียหายน้อยกว่า มันเกิดอะไรขึ้น มีความซับซ้อนอะไรเกิดขึ้น ในปี 2553 เมื่อมีเขื่อนขนาดใหญ่ 4 เขื่อน ปรากฎว่าน้ำโขงแห้งมาก ในเดือนก.พ. 2553 ไม่สามารถเดินเรือไปหลวงพระบาง คนแม่น้ำโขงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำไม่เคยแห้งขนาดนั้น” ครูตี๋กล่าว
นายนิวัฒน์กล่าวว่า ปรากฎการณ์ 3 ประการ คือ 1 ฤดูกาลแม่น้ำโขงไม่เหมือนเดิม น้ำถูกกักหน้าฝน น้ำน้อยกว่าที่ควรเป็น น้ำถูกปล่อยในหน้าแล้ง น้ำมากกว่าที่ควรเป็น 2 ระดับน้ำขึ้นลงไม่ปกติผันผวน ถูกควบคุมจากเขื่อนตอนบน และ 3 การหายไปของตะกอน ที่เป็นความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำโขง
“2 เดือนที่ผ่านมาภัยพิบัติจากอุทกภัย แม่น้ำโขงยกระดับขึ้นสูง 3 ครั้ง ต้นเดือน ส.ค. วันที่ 26 ส.ค. และวันที่ 12-13 ก.ย. สูงขึ้นจากระดับ 4 เมตร สูงเป็น 9 เมตร 10.50 เมตร และ 12.80 เมตรตามลำดับ ขณะที่มวลน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนล่างจากน้ำป่ามีมาก ทำให้น้ำไม่สามารถระบายได้เนื่องจากแม่น้ำโขงหนุน และพบว่านช่วงวันที่ 24 ก.ย. เขื่อนจิ่งหงยังปล่อยน้ำเพิ่มขึ้น และหากมีการสร้างเขื่อนปากแบงอีก ลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำสาขา แม่น้ำงาว แม่น้ำกก แม่น้ำอิง และแม่น้ำสาขาอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร ทำให้เห็นว่า 3 ทศวรรษ แม่น้ำโขงมีสภาพเลวร้ายที่สุดแล้ว” นายนิวัฒน์ กล่าว
ส่วนการมองไปข้างหน้า นายนิวัฒน์ กล่าวว่า ยังมีความหวังแต่จะเริ่มทำหรือยัง มันต้องทบทวนใหม่หมด อุทกภัยที่เกิดขึ้นบอกแล้ว การมีส่วนร่วมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการพัฒนาสมัยใหม่
“การเมืองเป็นเรื่องสำคัญ การเมืองกับการพัฒนาเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องนำพามาสู่จุดนี้ จากยุคอาณานิคม และสมัยสงครามเย็น ปัจจุบันนั้นการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ คือรัฐกับทุน ที่ผ่านมาผู้เล่นคือรัฐบาลกับทุน การเมืองภาคประชาชนการพัฒนาลุ่มน้ำโขง ไม่มีอำนาจหรือน้อยมาก ทั้งในการบริหารน้ำในประเทศและแม่น้ำนานาชาติ” ครูตี๋ กล่าวและว่ากลไกในการยกระดับภาคประชาชน โดยเฉพาะข้อกฎหมายต้องเปิด ที่ผ่านมาไม่เอื้อกัน ตนเจ็บมาก เมื่อฟ้องศาลแต่ศาลไม่รับฟ้อง เพราะกฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่พูดถึงผลกระทบข้ามแดน ฉะนั้นต้องเขียนรายละเอียดไปด้วยว่าให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างไร และให้ปฏิบัติได้จริง
น.ส.พุทธิกุล สทนช. กล่าว่า สถานการณ์ระดับน้ำโขงและอุทกภัยในเดือน ส.ค.-ก.ย. ทาง สทนช.ในฐานะเลขาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ทำบันทึกถึงจีนให้ลดการปล่อยน้ำจากเขื่อน ช่วงนั้นฝนตกหนัก และเมื่อเขื่อนไซยะบุรีเปิดระบายน้ำ อ.เชียงคานก็รับน้ำหนักมาก ทางหน่วยงานได้ติดตามและแจ้งเตือน แต่ข้อมูลอาจถึงประชาชนน้อย
นายวิจารณ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน การจัดการระบบลุ่มน้ำทั้ง ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำต้องเชื่อมกัน แม่น้ำโขงตอนล่างต้องทำงานร่วมกัน และประเด็นวิกฤติสภาพภูมิอากาศโลก การขับเคลื่อนเศรษฐกิจปัจจุบั ทำให้การคุมอุณหภูมิตามข้อตกลงที่จะคุมไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศา แต่ในปีที่แล้วอุณหภูมิสูงขึ้นกว่า 1.4 องศาแล้ว เมื่อไทยก็ลงนามในข้อตกลงที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมองมิติเดียวว่าพลังงานสะอาด เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะอยู่กับเขาได้อย่างไร
รศ.ชาลี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าเขื่อนในลาวกำลังกลายเป็นแหล่งพลังงานภูมิภาค เมื่อแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าของไทย (PDP) ให้เพิ่มกำลังการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำอีกกว่า 3500 เมกะวัตต์ (MW) ก็ต้องสร้างเขื่อนเพิ่ม ซึ่งเราถูกชวนเชื่อเสมอว่าไฟฟ้าพลังน้ำเป็นแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ ขณะที่มีแหล่งพลังงานอื่น แต่เราเลือกที่จะไม่ใช้ ราคาไฟฟ้าพลังงานน้ำไม่ได้ถูก ต้องดูความมั่นคงรอบด้าน ต้องดูว่าผลิตไฟฟ้าได้สม่ำเสมอหรือไม่ มองว่าได้ไม่คุ้มเสีย กับผลกระทบต่อคนและสัตว์ป่า ไฟฟ้าจากเขื่อนลาวไม่ได้ถูก แต่ค่อนข้างแพงเกือบ 3 บาทต่อหน่วย ขณะในประเทศราคาเพียงบาทกว่า และยังต้องลงทุนสายส่ง และมีปัจจัยเสี่ยงตามมาก
น.ส.รวินทร์นิภา กองความมั่นคงกิจการชายแดนกล่าวว่า เรามีปัญหาเมื่อขีดเส้นปักปันเขตแดนในแม่น้ำ ตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส 1926 การใช้ประโยชน์มีข้อขัดแย้ง บนเกาะ บนฝั่ง เมื่อทิศทางน้ำไหลเปลี่ยน กระทบวิถีชีวิต การไปมาหาสู่ระหว่างกัน ระบบนิเวศที่ดำรงอยู่ไม่ได้เป็นไปเหมือนอดีต ปัญหามลพิษ การใช้ประโยชน์แม่น้ำได้ไม่เต็มที่ ประเด็นเรื่องกระแสน้ำเปลี่ยน ปริมาณน้ำที่ส่งผลกระทบ ระดับน้ำที่ผันผวน เป็นเรื่องที่ต้องมีการเพิ่มมิติในแม่น้ำระหว่างประเทศ ผลกระทบข้ามแดนในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพกลไกที่เรามีอยู่
นายวันชัย สื่อมวลชน กล่าวว่าแม่น้ำโขงไม่ใช่เพียงเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน แต่เรื่องสำคัญคือ ความมั่นคงทางอาหาร เทือกเขาหิมาลัย ต้นกำเนิดแม่น้ำหลายสายในภูมิภาคเอเชีย จัดเป็นถังน้ำสำรอง การหายไปของน้ำแข็งหิมาลัยเป็นประเด็นที่น่ากังวลมาก แม่น้ำโขงมีปลาที่เป็นอาหารจับได้กว่า 3.6 ล้านตันต่อปี เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ ตะกอนดินที่ทำให้เกิดแร่ธาตุ ทำให้เกิดการกรองน้ำ การฟอกอากาศ มีส่วนปกป้องอุทกภัย วาตภัยได้ ให้กับคนลุ่มน้ำโขงกว่า 60 ล้านคน อดีตที่ผ่านมาหลายทศวรรษ ประเทศฝรั่งเศสพยายามทำเส้นทางแม่น้ำโขงไปทางประตูหลังของประเทศจีน อังกฤษก็พยายามใช้แม่น้ำอิรวดีเพื่อไปจีน ปัจจุบันจีนจะระเบิดแก่ง เพื่อหาทางนำเรือสินค้าออกทะเล
“เขื่อนแม่น้ำโขง จีนตั้งไว้ว่าจะผลิตไฟ 1 แสน MW ขณะนี้มี 20 กว่าเขื่อนแล้ว จริงๆ แล้ว MRC เคยพูดว่าเขื่อนในแม่น้ำโขงคุกคามนิเวศ และเศรษฐกิจของคนลุ่มน้ำ แต่เสียงไม่ดังพอ ปัจจุบันประเทศที่เสียหายสุดคือ เวียดนาม ขณะนี้จีนสนับสนุนโครงการทำคลองออกทะเลของกัมพูชาโดยไม่ต้องพึ่งเส้นทางน้ำในเวียดนาม โครงการในแม่น้ำโขงสร้างความเหลื่อมล้ำ คนที่ได้ประโยชน์มีไม่มาก แต่ประชาชนลุ่มน้ำกว่า 60 กว่าล้านได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า”นายวันชัย กล่าว
ด้าน รศ.ชัยยุทธ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กว่า 7 ทศวรรษ การพัฒนาแม่น้ำโขง ยกเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ อยู่ในเอกสารฝ่ายชำนาญพิเศษ ที่ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันเขียนรายงานนี้ขึ้นมาเพื่อพัฒนากลุ่มประเทศฟื้นตัวจากสงครามในสมัยนั้น โดยสหประชาชาติ (UN) มาช่วย ตนเห็นว่าที่มาเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเราพูดถึงการพัฒนา มันมีประเด็นที่ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่เป็นอยู่เป็นการตัดสินใจของคนยุคก่อนหน้า เรียนรู้ประสบการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น
“เราต้องเตรียมกระบวนคิดของเราที่จะเกิดขึ้นกับคนรุ่นต่อไป ถ้าไม่เรียนประวัติศาสตร์ จะตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ การสร้างให้ประเทศ ฟื้นจากความยากจน ต้องมีพลังงาน ต้องมีอาหาร เมื่อขีดเส้น เกิดจากความคิดอเมริกัน ฉะนั้นเขื่อนไม่ได้มาจากท้องฟ้า ถ้าไปเปิดอ่านรายงานฉบับนั้น จะมีการพูดถึงเรื่องประมง เกษตรกรรม การเดินเรือ คมนาคมขนส่ง มีหลายอย่างมากที่จะพัฒนาควบคู่กันไป แต่ความไม่พร้อมของประเทศต่าง ๆ ทำให้การขับเคลื่อนไม่ได้ไปพร้อมกันทุกเรื่อง” ดร.ชัยยุทธ กล่าว