ภาสกร จำลองราช
เสียงเล็กๆ เจื้อยแจ้วท่องอ่านกันอย่างเพลิดเพลิน ดังมาจากอาคารเรียนหลังเล็กทำจากไม้ไผ่ ทั้งเป็นฝากันฝนกันลมและพื้นเป็นที่นั่งเรียน ส่วนหลังคาที่ใช้กันแดดกันฝนมุงด้วยใบตองตึง
จริงๆ ใช้คำว่า “อาคาร” อาจไม่ถูกกับความเป็นจริงนัก น่าจะเรียกว่ากระต๊อบ หรือกระท่อมหรือเพิง ดูจะใกล้เคียงกว่า เพียงแต่กระท่อมหลังนี้ใช้เป็นสถานที่เรียนสำหรับเด็กนักเรียน 19 คนและครู 2 คน จึงใช้คำว่าอาคาร
ภายในกระท่อมมีกระดาษดำขนาด 1×1 เมตรตั้งอยู่ 2 อัน แต่ละอันทั้ง 2 ด้านมีลายมือที่เขียนด้วยชอล์กสีขาว นอกจากเป็นสื่อการเรียนการสอนแล้ว กระดานดำยังทำหน้าที่กั้นแบ่งห้องเรียนด้วย
นักเรียนเล็กสุดอายุ 3 ขวบชั้นอนุบาล 1 ส่วนที่โตสุดอายุ 12 ขวบอยู่ชั้น ป.3
ริมแม่น้ำสาละวินที่ไหลผ่านชายแดนไทยเขต อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน มีโรงเรียนเล็กๆ เช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย นับตั้งแต่สถานการณ์การสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารพม่าและกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์รุนแรงขึ้นกลายเป็นสงครามทั่วประเทศพม่า ภายหลังจากที่ พล.อ.มิน อ่อง หลาย ทำการรัฐประหารเมื่อปี 2564
กองทัพพม่าได้ใช้เครื่องบินและโดรน มาทิ้งระเบิดโดยไม่แยกแยะความเป็นมนุษย์ แทนที่จะมุ่งไปยังเป้าหมายด้านการทหารที่ประหัตประหารกัน กลับทิ้งระเบิดโดยไม่คำนึงว่าเป็นชุมชน วัด โรงพยาบาล หรือโรงเรียน เพราะคิดเพียงว่าประชาชนเหล่านี้คือมวลชนของฝ่ายต่อต้าน
“เด็กๆ ทั้งหมดหนีมาจากหมู่บ้านในพื้นที่สงคราม” ครูซึ่งทำหน้าที่ทุกอย่าง เล่าถึงที่มาของเด็กนักเรียนทั้ง 19 คน
“นักเรียนหลายคนเดินมาจากหมู่บ้านอีกแห่ง กว่าจะมาถึงที่นี่ใช้เวลาเดินเลาะแม่น้ำสาละวิน 30 นาที บางวันที่ฝนตกก็มีผู้ปกครองมาส่ง” ครูเล่าถึงเด็กเล็กกลุ่มหนึ่งอายุ 4-5 ขวบที่เดินข้ามป่าดอยจากหมู่บ้านมาเรียนกันเอง
ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำสาละวินที่ไหลเลาะชายแดนไทย คือรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งกองทัพ KNU (Karen National Union หรือสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง) และกองทัพพม่ากำลังทำสงครามกันอย่างเข้มข้น โดยเมื่อ 3 ปีก่อน กองทัพพม่าได้ส่งเครื่องบินรบมาทิ้งระเบิดชุมชนเด่ปูโหน่ ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของ KNU กองพล 5 โดยทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมทั้งโรงเรียน ทำให้เด็กๆ จำนวนมากต้องอพยพหลบเข้าไปอยู่ในป่า เช่นเดียวกับหมู่บ้านต่างๆ ในลุ่มน้ำสาละวินที่ถูกกองทัพพม่าทิ้งระเบิดใส่อย่างถ้วนหน้า
ทุกวันนี้แม้ KNU สามารถผลักดันทหารพม่าออกไปจากริมแม่น้ำสาละวินตลอดแนวชายแดนได้ทั้งหมด แต่ชาวบ้านยังไม่สามมรถกลับคืนสู่บ้านเรือนได้ ยังคงต้องอาศัยอยู่กันตามป่าเขา เพราะกองทัพพม่าส่งโดรนมาสำรวจอยู่ตลอด และใช้เครื่องบินรบมาทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่เห็นความเคลื่อนไหว ขณะที่เด็กๆ ต่างต้องเรียนหนังสือกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ
“ทุกคนเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินจะเงียบทันที” ครูเล่าถึงอาการของลูกศิษย์ตัวน้อยในยามที่ได้ยินเสียงเครื่องบินรบของพม่า “เด็กๆ ส่วนใหญ่เคยวิ่งหนีระเบิดมาแล้วทั้งนั้น”
การหนีระเบิดเรื่องปกติของชาวบ้านที่ต่างรู้ดีว่าจะรับมือในสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร ขณะที่เด็กๆซึ่งเคยมีอาการสั่นกลัว นับวันกลายเป็นความเคยชิน พวกเขาทำได้เพียงใช้ความเงียบเป็นการรับมือ
“ก็อยากให้พวกเขาอ่านออกเขียนได้ มีโอกาสก็ได้เรียนสูงๆ ต่อไป” ครูบอกถึงเป้าหมายที่เป็นครูอาสาครั้งนี้
ครูทั้ง 2 คน ในวัย 22 และ 24 ปี ต่างไม่มีเงินเดือน แต่มีข้าว อาหาร และที่พักให้ โรงเรียนแห่งนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับลูกหลานของเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยในสถานพยาบาลแห่งหนึ่งริมแม่น้ำสาละวิน แต่เมื่อชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงรับรู้ก็ทยอยส่งลูกหลานมาเรียนมากขึ้น ทั้งๆ ที่อุปกรณ์การเรียนการสอนยังแทบไม่มี แม้แต่สมุด-ดินสอก็ยังไม่พร้อม
ที่พร้อมอย่างเดียวคือ “หัวใจ”
หัวใจของผู้เป็นครูที่พร้อมสอนและหัวใจของผู้เป็นลูกศิษย์ที่พร้อมเรียน
เสียงเจื้อยแจ้วที่ท่องอ่านดังแหวกเสียงน้ำสาละวินจึงสดใสและไพเราะยิ่ง
“ตอนที่ครูเป็นนักเรียนไม่ได้ลำบากแบบนี้ ตอนนั้นชุมชนของเรายังอยู่กันอย่างปกติ ครูเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนเดปูโหน่” ครูย้อนอดีตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เดปูโหน่เป็นชุมชนใหญ่ในเมืองมือตรอ แต่เมื่อถูกทหารพม่าถล่มและเปลี่ยนเป็นสนามรบ ทำให้ชาวบ้านและเด็กๆ ต้องกระจัดกระจายหลบซ่อนอยู่ตามป่าดอย ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพ
KECD (Karen Education & Culture Department) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการศึกษาของ KNU ระบุว่ามีโรงเรียนในรัฐกะเหรี่ยง 1,660 แห่งที่อยู่ในพื้นที่การสู้รบ และมีเด็กๆราว 145,233 คนที่กำลังเผชิญสถานการณ์เสี่ยงในภาวะสงคราม
KECD ได้เรียกร้องให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยและขอให้ทุกฝ่ายหยุดปฎิบัติการทางทหารในโรงเรียน แต่เสียงเรียกร้องนี้เหมือนจะไม่ได้รับความสนใจจากกองทัพพม่า เพราะล่าสุดการทิ้งระเบิดในโรงเรียนก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ใกล้สิ้นฝนย่างสู่ฤดูหนาว เป็นสัญญาณการสู้รบครั้งใหญ่ของปีที่กำลังเริ่มต้น
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากองทัพพม่าส่งโดรนถล่มฐานบัญชาการใหญ่ของ KNU ริมแม่น้ำเมย ขณะที่ก่อนหน้านั้น KNU ได้บุกยึดฐานปฎิบัติการทางทหารของกองทัพพม่าเพิ่มขึ้นหลายแห่ง
เสียงกลองศึกดังขึ้นแล้ว ขณะที่การเรียนการสอนในโรงเรียนเล็กๆ ริมแม่น้ำสาละวินยังคงดำเนินต่อไป
เสียงเจื้อยแจ้วตามป่าดอยยังคงดังอยู่ในสนามรบทั่วประเทศพม่าโดยไม่มีใครตอบได้ว่าเสียงของเด็กน้อยจะดังได้นานอีกสักเท่าไร