ภาสกร จำลองราช
“พี่ว่าหนูจะได้ออกจากที่นี่มั้ย?” คำถามที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเงียบงันทันที เพราะไม่มีใครตอบได้
กว่า 3 สัปดาห์แล้วที่หญิงสาวชาวลาวพร้อมเพื่อนร่วมชาติอีก 18 คนได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ของไทย อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ประสานความช่วยเหลือเพื่อเอาตัวพวกเธอที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์อยู่ริมแม่น้ำเมย เมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก ออกมาจากแหล่งอาชญากรรมของมาเฟียจีน
นอกจากคนลาว 19 คนแล้ว ยังมีเหยื่อจากชาติต่างๆไม่น้อยกว่า 10 ชาติ ที่ประสานขอความช่วยมายังเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ (Civil Society Network for Victim Assistance in Human Trafficking) และร้องขอไปยังรัฐบาลไทยจากเดิมที่มีตัวเลขผู้ถูกกักขัง 110 คนได้เพิ่มเป็นกว่า 300 คน โดยตัวเลขที่พุ่งพรวดเพราะสถานทูตหลายแห่งซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากพลเมืองของตัวเองที่กำลังถูกกักขังอยู่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย แต่สถานทูตไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้ จึงส่งรายชื่อให้กับเครือข่ายฯ เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้
แหล่งอาญชากรรมริมแม่น้ำเมย ในเมืองเมียวดีอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Karen Border Guard Force- BGF) และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) ฝั่งตลบข้าม อ.แม่สอด และอ.พบพระ จ.ตาก โดยตลอดลำน้ำมีแหล่งอาชญากรรมมากมาย บางแห่งเป็นจุดพักสำหรับค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา บางแห่งเป็นแหล่งยาเสพติด แต่ที่เฟื่องฟูสุดคือแหล่งต้มตุ๋นหลอกลวงทางออนไลน์
กล่าวได้ว่า แหล่งอาชญากรรมเหล่านี้อยู่ได้เพราะมีประเทศไทยเป็นระเบียงสนับสนุนกิจกรรมของพวกเขา นับตั้งแต่การหลอกลวงคนทั่วโลกไปทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ หรือสแกมเมอร์ รวมถึงการเรียกค่าไถ่ ซึ่งเกือบ 100% ใช้เส้นทางผ่านแผ่นดินไทย โดยมากนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ยกเว้นประเทศลาว จากนั้นมีรถตู้ไปรับไปส่งที่ อ.แม่สอด หรือบางส่วนนั่งเครื่องบินจากดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ มาลงที่สนามบินแม่สอด
ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงในบันทึกการให้ปากคำของเหยื่อไว้ซึ่งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ทำไว้ระหว่างการคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ ( National Referral Mechanism – NRM) ซึ่งน่าแปลกใจว่า ข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยมีการนำไปขยายผลเลย ทั้งๆที่ระบุไว้ชัดเจนว่า มีการใช้เส้นทางไหน และมีจุดพักต่างๆ ที่ใดบ้าง
พื้นที่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย ฝั่งเมียวดี อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยงทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งเหมือนไข่แดงที่ล้อมด้วยพื้นที่สนามรบระหว่างกองทัพกองทัพปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง หรือเคเอ็นแอลเอ (Karen National Liberation Army–KNLA) แห่งสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู (Karen National Union-KNU) กับกองทัพพม่า โดยมีแม่น้ำเมยและชายแดนไทยเป็นผนังพิง โดย KNU ก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้ เพราะผู้บริหารส่วนหนึ่งของ KNU ก็เข้าไปพัวพันผลประโยชน์สีดำนี้ ที่สำคัญคือกลายเป็นเรื่องเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่ เพราะไม่อยากเปิดศึกหลายด้าน
เหล่ามาเฟียจีนและผู้นำกองกำลัง DKBA และ BGF ต่างใช้แผ่นดินไทยเป็นประตู gateway สู่แหล่งอาชญากรรม ดังเห็นได้จากทุกๆ เที่ยวบินที่มาลงแม่สอด มีวันรุ่นชาวจีนครึ่งค่อนลำและคนกลุ่มนี้มีรถตู้หรูหรามารับ และหายไปจากแม่สอด ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบต่างก็ทราบข้อมูลกันดี แต่เสมือนหลับตาข้างหนึ่ง เช่นเดียวกับการนำตัวเหยื่อมาลงที่สนามบินแม่สอดและปล่อยให้เหล่ามาเฟียจีนพาตัวข้ามแม่น้ำเมยออกไปตามช่องทางธรรมชาติ เป็นช่องทางผิดกฎหมายที่มี “สินบน” เป็นตัวนำ
เพียงแค่การตั้งด่านตรวจชาวต่างชาติทุกคนที่เข้าพื้นที่แม่สอด ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ทุกวันนี้แม้มีการชี้แนะไปหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการสนองตอบจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากอิทธิพลเงินของเหล่ามาเฟียจีนสามารถบดบังได้หลายระดับ
“ถ้าเขาจับได้ว่าพวกหนูติดต่อให้คนมาช่วย เขาจะเอาเราไปทรมาน เอาไปขังในคุกมืด เอาเชือกผูกแขน และตี หรือช็อตด้วยไฟฟ้า เคยมีคนพยายามหนี แต่ถูกจับได้ คนอินเดียส่งโลเคชั่นไปให้สถานทูต สุดท้ายถูกขังห้องมืดและช็อตไฟฟ้า ถูกตีอยู่ 4-5 วัน จนกว่าจะสะใจ หนูเองก็เคยถูกถูกทำร้ายทุบตีเพราะทำงานไม่ได้เป้า เขาเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าช็อตที่แขน บางคนก็ถูกช็อตที่ก้น” หญิงสาวชาวลาวอธิบายความโหดร้ายของแก๊งค้ามนุษย์ชาวจีนที่กระทำกับเหยื่อ
หญิงชาวลาวรายนี้เธอเข้ามาขายแรงงานในประเทศไทยก่อน หลังจากนั้นมีเพื่อนชวนไปทำงานอีกที่หนึ่งที่อ้างว่ามีรายได้ดีกว่า สุดท้ายเธอถูกหลอกไปยังแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย และที่นั่นมีคนลาวอีก 18 คนซึ่งถูกหลอกมาจากพื้นที่ต่างๆในประเทศลาวมาอยู่ที่นี่ แม้พวกเธอพยายามร้องเรียนไปยังสถานทูตลาวในพม่า แต่คำตอบที่ได้คือ “พื้นที่นั่น รัฐบาลพม่าก็เข้าไปไม่ได้” ทำให้พวกเธอแทบสิ้นหวัง
เช่นเดียวกับเหยื่อชาวบังคลาเทศ อินเดีย เคนยา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ที่รัฐบาลของตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ซึ่งเป็นความอ่อนแอทางการทูต เมื่อรัฐบาลเจ้าของพื้นที่คือรัฐบาลพม่า และรัฐบาลไทย ไม่ยื่นมือเข้าช่วยก็ทำอะไรไม่ได้ ยกเว้นกรณีของรัฐบาลจีน
เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธุ์ 2567 รัฐบาลจีนได้ส่งเครื่องบินมารับเหยื่อชาวจีน รวมทั้งจับกุมมาเฟียจีน รวมแล้วนับพันคน จากสนามบินแม่สอดกลับสู่ประเทศจีนโดยใช้เวลาขนย้ายชาวจีนอยู่ 3 วัน ซึ่งปฎิบัติการนี้เป็นความลับ แต่มีข่าวหลุดออกมาถึงนักข่าว แต่ปฎิบัติการครั้งนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่กลายเป็นคำถามว่า เหตุใดทางการจีนจึงสามารถเข้าไปจับกุมมาเฟียจีนในเขตอิทธิพลของกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยง DKBA และ BGF ได้ แถมยังใช้สนามบินแม่สอดเป็นฐานในปฎิบัติการขนย้ายคนจีนกลับในครั้งนี้
คำถามที่น่าคิดกว่านั้นคือ “รัฐบาลไทยไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?”
วันนี้เหยื่อของแก๊งมาเฟียจีนจากนานาชาติยังถูกกักขังและทรมานอยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยนับร้อยนับพันคน วันดีคืนดีก็มีศพชาวต่างชาติลอยตามลำน้ำเมยมาติดอยู่ฝั่งไทยและถูกเขี่ยออกไปที่อื่น แม้จะมีการส่งข้อมูลและพิกัดให้กับผู้นำรัฐบาลไทยไปแล้วกว่า 3 สัปดาห์ แต่กลับไม่มีการสนองตอบใดๆสะท้อนให้เห็นทั้งด้านมโนธรรมและมนุษยธรรม
ปัจจุบันแผ่นดินไทยด้าน อ.แม่สอด และอ.พบพระ ยังคงทำหน้าที่เป็นประตูสู่นรกได้อย่างดีและยังมีเหยื่อหลากหลายชาติถูกหลอกข้ามฟากไปอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย พยายามป่าวประกาศความร่วมมือกับชาตินั้นชาตินี้ ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติจึงเป็นเพียงน้ำยาป้วนปากเท่านั้น ตราบใดที่เสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือยังดังต่อเนื่องมาจากริมแม่น้ำเมย
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.