Search

มองหายุทธศาสตร์ที่ “ตกหาย” ในสถานการณ์ชายแดนไทย-พม่า ผ่านมุมมอง ศ.สุรชาติ บำรุงสุข



กองกำลังว้าหรือกองทัพเอกภาพแห่งรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) เกิดขึ้นเมื่อปี 2532 แต่เติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะเวลา 30 ปีจนล้ำหน้าทั้งเรื่องกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ แซงกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆในพม่า


UWSA เข้ามายึดพื้นที่ชายแดนรัฐฉานใต้โดยเฉพาะที่อยู่ติดกับประเทศไทยตั้งแต่ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่และ จ.แม่ฮ่องสอน หลังจากสิ้นอิทธิพลของขุนส่าและกองทัพเมืองไต(Mong Tai Army – MTA)เมื่อปี 2539

วันนี้ UWSA ปักหลักอยู่ชายแดนไทย นอกจากส่งผลเรื่องความมั่นคงแล้ว ยังมีเรื่องยาเสพติด ธุรกิจสีเทาดำมากมายที่นำเข้าสู่สังคมไทย ทำให้มีคำถามว่าช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายความมั่นคงของไทยตั้งแต่ระดับนโยบายคือสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กองทัพไทย รวมไปถึงฝ่ายการเมืองที่เข้าไปกุมอำนาจการบริหาร เคยมียุทธศาสตร์หรือนโยบายเรื่องนี้หรือไม่ ?

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ”ว่าหลังสงครามคอมมิวนิสต์จบ ตนได้เสนอแนวคิดว่าปัญหาที่กำลังจะตามมาคือเรื่องเส้นเขตแดน และได้ทำวิจัยเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งขณะนั้นสอดรับกับปัญหากรณีเขาพระวิหาร รวมถึงเส้นเขตแดนทางทะเล ตอนนั้นเราได้ไปเจออีกเรื่องหนึ่งคือการระบาดของยาเสพติดข้ามเส้นเขตแดน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่อยู่ติดกับพม่า ซึ่งเป็นเหมือนแหล่งผลิตยา แต่ทำอะไรได้ยากเพราะอยู่นอกเส้นเขตแดนไทย

“ตอนนั้นผมเข้าไปช่วยงานด้านวิชาการให้กองบัญชาการทหารสูงสุดที่มี พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประเด็นเพื่อนบ้านคือโจทย์ด้านความมั่นคง ต่อมาได้นำไปสู่การจัดตั้งศูนย์อาเซี่ยนในสถาบันป้องกันประเทศซึ่งเป็นตัวแม่ของ วปอ. ศูนย์นี้ทำหน้าที่ต่างๆให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทุกเดือนเราจะคุยเรื่องเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอด 4 ปีที่ พล.อ.มงคลดำรงตำแหน่ง ประเด็นเหล่านี้ถูกหยิบยกมาเป็นหัวข้อสำคัญในเวทีด้านความมั่นคง ช่วงนั้นเป็นยุคหลังสงครามเย็น และมีโจทย์ใหม่ๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเส้นเขตแดน รวมถึงปัญหายาเสพติด และแรงงานข้ามชาติ”ศ.สุรชาติย้อนอดีตในยุคที่กองกำลังว้า ยังเป็นเพียงกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์เล็กๆบริเวณชายแดนภาคเหนือ

นักวิชาการด้านความมั่นคงว่า ในช่วงนั้นขุนส่าได้วางอาวุธแล้ว ขณะที่กองกำลังว้าเริ่มเข้ามา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากยุคเฮโรอีนเป็นแอมเฟตามีน ทำให้โจทย์และตัวละครเริ่มเปลี่ยน

“พรมแดนระหว่างไทย-พม่ากว่า 2.4 พันกิโลเมตร มีพื้นที่ที่ปักปันและตกลงกันได้จริงๆน้อยมาก แค่บริเวณแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก จ.เชียงราย เพียง 59 กม. แต่พื้นที่อื่นๆยังไม่เสร็จหรือยังไม่ได้ทำ เขตแดนบริเวณนี้แตกต่างจากฝั่งตะวันออกซึ่งมีสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสชัดเจน ขณะที่ทางใต้ติดกับมาเลเซียมีสนธิสัญญาระหว่างสยาม-อังกฤษ แต่แนวพรมแดนตะวันตกมีปัญหาเพราะเราใช้สันเขา ส่วนแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำเมยเราใช้ฝั่งแม่น้ำ ไม่ได้ใช่ร่องน้ำลึก และห้วยบางแห่ง ส่วนแนวเทือกเขาตะนาวศรีใช้สันปันน้ำ แต่สันปันน้ำสามารถขยับได้ด้วยตัวเอง แนวชายแดนพม่าจึงยุ่งยากกว่าแนวชายแดนด้านอื่น แถวนี้จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงเรื่องการปักปัน” นักวิชาการด้านความมั่นคงฉายให้เห็นภาพใหญ่ของปัญหาพรมแดนด้านตะวันตก

ช่วงสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก เคยมีสถานการณ์ความตรึงเครียดกับว้าแถวชายแดนจังหวัดเชียงราย แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป ขณะที่กองกำลังว้าได้ขยายตัวขึ้น ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นเริ่มถูกลืมเลือน

“ผมคิดว่าคนคงลืมไปแล้วว่า ตอนคุณทักษิณขึ้นมา มีปัจจัยหลายอย่างซ้อนกัน มีปัญหาหนึ่งคือเรื่องการล้ำแดน มันมาพร้อมกับหนังเรื่องบางระจันที่ปลุกกระแสชาตินิยม ตอนนั้นมีการปะทะตามแนวชายแดน วิกฤตตอนนั้นคุณทักษิณ มีสถานการณ์ที่เกือบพาประเทศไทยเข้าสู่สงครามใหญ่ ตอนปี 44 และปี 46 สุดท้ายได้มีการพูดคุยจนสถานการณ์คลี่คลาย แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ตอบคำถามเรื่องชายแดนเพื่อนบ้านที่เป็นประเด็นความมั่นคงขนาดใหญ่ หลังจากนั้นรัฐบาลทักษิณพยายามพูดคุยกับรัฐบาลทหารพม่า นำไปสู่การทำปฏิญญาความช่วยเหลือระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน”

เมื่อถามว่าการรุกคืบของว้าในขณะนั้นเป็นโจทย์ที่สำคัญของฝ่ายความมั่นคงแล้วหรือไม่ ศ.สุรชาติ กล่าวว่า ตอนนั้นโจทย์ว้า ยังไม่ใหญ่มากนัก แต่ไปพัวพันกับเรื่องยาเสพติดมากกว่า ยุคนั้นจีนได้เข้าไปมีบทบาทโดยตรงในรัฐบาลทหารพม่าเต็มตัว จีนจึงไม่จำเป็นต้องหนุนหลังกลุ่มชาติพันธุ์มาก ที่เขาสนับสนุนโดยตรงคือกรณีของกองกำลังโกก้าง หากย้อนในอดีต ฐานเก่าของทั้งว้าและโกก้างคือพรรคคอมมิวนิสต์พม่า

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพไทยกับกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆในยุคนั้นเป็นอย่างไร นักวิชาการด้านความมั่นคง กล่าวว่า กลุ่มชาติพันธุ์ถูกลดความสัมพันธ์ลงเนื่องจากกองทัพบกตั้งแต่ยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จนถึงพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร มีความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเนื่องจากกองทัพบกไทยสามารถติดต่อได้โดยตรงกับผู้นำทหารพม่าซึ่งในอดีตไม่เคยมีมาก่อน ทำให้นโยบายเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับพรรคคอมมิวนิสต์หมดสภาพไป ดังนั้นจึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างแนวป้องกันตามชายแดน

“คนรุ่นหลังต้องเข้าใจด้วยว่าโจทย์ที่เปลี่ยนมีหลายปัจจัยเข้ามาซ้อนกันอยู่ แต่อยู่ในระนาบช่วงเวลาเดียวกัน ตอนนั้นใครๆก็รู้ว่าเราให้การสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ และถูกลดระดับลงค่อนข้างมาก กองทัพบกในยุคหลังๆจึงไม่ค่อยรู้ว่าเราเคยเข้าไปมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อย่างไร”

สถานการณ์ในปัจจุบันที่ว้ากลายเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งเป็นรองแค่กองทัพพม่าและอยู่ประชิดชายแดนไทย จึงมีคำถามถึงยุทธศาสตร์หรือนโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อชายแดนแถบนี้ดังขึ้นทุกวัน

“ระยะหลังรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะมาจากเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง เกิดปัญหาอย่างหนึ่งคือเราติดกับดักปัญหาในบ้านตัวเอง ไม่ใช่แค่ปัญหาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นที่เราไม่สนใจ แม้แต่ปัญหาโลกเราก็ไม่สนใจ เราพูดเรื่องการเมืองในบ้านอย่างเดียวมานับสิบปีตั้งแต่รัฐบาล คสช.เป็นต้นมา ยิ่งพอคิดว่าจับมือกับทหารพม่าได้ ปัญหาชายแดนเลยไม่ต้องห่วง เมื่อคิดเช่นนี้ ปัญหาชายแดนจึงเป็นเรื่องรอง เราไม่เห็นภาพจริงๆเพราะไปวางน้ำหนักไว้ที่ทหารในเนปิดอว์”ศ.สุรชาติ ชี้ถึงรากเหง้าของปัญหาการบริหารบ้านเมือง

“วันนี้พอกลับมาดูปัญหาเลยรู้สึกตกใจ เพราะยุคนั้นว้าไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ จีนก็ไม่ได้ซัพพอร์ตว้าขนาดนี้ ยุคนั้นโจทย์ความมั่นคงก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ แต่วันนี้พอมาเห็นตัวเลขต่างๆ ทั้งที่ปกปิดและไม่ปกปิด ทำให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเราเคยพูดกันสมัย พล.อ.มงคล มันขยายตัวใหญ่จนเรานึกไม่ถึง แต่น่าสังเกตคือหลังรัฐประหารติดต่อกันมา เราไม่เคยเห็นการวางน้ำหนักเรื่องพวกนี้”

นักวิชาการผู้นี้กล่าวด้วยว่า ชายแดนพม่ามีพลวัตที่สูง ทั้งเรื่องผลประโยชน์ ธุรกิจสีเทาสีดำ มีทุกอย่างอยู่ชายแดน คำถามคือรัฐบาลที่ทั้งมาจากเลือกตั้งและไม่เลือกตั้งเห็นภาพหรือไม่ สภาความมั่นคงแห่งชาติเห็นภาพนี้หรือไม่ กองทัพภาคอาจจะเห็น แต่ไม่มีคำตอบว่ากองทัพภาคควรทำอะไร เหล่านี้คือโจทย์ใหญ่ของประเทศไทย

“พูดง่ายๆคือรอบตัวเรามีพลวัตสูง แต่เรายังคิดแบบพลวัตต่ำ พอเรามองด้วยพลวัตต่ำจึงไม่เข้าใจชายแดน ทั้งที่โจทย์เรื่องพม่ามีความซับซ้อนใหญ่มาก ไม่ได้มีแค่ตัวละครเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์หรือรัฐบาลทหารพม่าอย่างเดียวแล้ว แต่มีปัจจัยแทรกจากภายนอกที่ใหญ่มาก”

เมื่อถามว่าสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลไทยควรดำเนินนโยบายอย่างไรที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองมากที่สุด ศ.สุรชาติกล่าวว่า ไม่ว่าว้าจะขยายกองกำลังมากเท่าไร แต่ก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของเรา เพียงแต่จะทำอย่างไรปัญหาที่เกิดกับเขาไม่เข้ามากระทบกับชายแดนในบ้านเรา

“ตอนนี้ยังไม่อยู่ในสถานการณ์ตรึงเครียดเหมือนที่สื่อในกรุงเทพฯพูดกัน รวมทั้งบทสัมภาษณ์ของนักวิชาการบางส่วนที่เล่นกับสื่อทำให้สถานการณ์ปั่นป่วนยิ่งขึ้น ตรงนี้ต้องระวังเพราะวันนี้มีการปลุกกระแสชาตินิยม เพราะมันจะไม่ได้อยู่แค่ชายแดนแต่จะลามไปถึงชาวพม่าที่เป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย สิ่งที่ผมพูดมาทั้งชีวิต คือผมไม่เชื่อว่าโจทย์ชายแดนแก้ได้ด้วยกระแสชาตินิยม”

เมื่อถามอีกว่าเขตปกครองพิเศษว้าอยู่ติดชายแดนจีน แต่จีนสามารถกำราบว้าไม่ให้ส่งยาบ้าเข้าไปในจีนได้ แต่ว้าใต้ที่อยู่ติดกับชายแดนไทย ทำไมถึงไม่สามารถต่อรองไม่ให้ส่งยาบ้าเข้าประเทศไทยได้ ศ.สุรชาติกล่าวว่า เพราะเราไม่มียุทธศาสตร์ที่เป็นจริง โจทย์แอมเฟตามีนเริ่มเข้ามาในยุคที่ตนเข้าไปช่วยงานวิชาการในศูนย์อาเซียน ซึ่งเราเห็นโจทย์นี้อยู่

“ผมไม่รู้ว่ายุคนี้เขาคิดอะไรอยู่ เพราะเราติดกับดักในกรุงเทพฯทำให้ทิ้งเรื่องอื่นหมด คำถามใหญ่อะไรคือยุทธศาสตร์ในวันนี้ อะไรคือตัวนโยบายทั้งชุดที่ฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาลเห็นพ้องต้องกันและร่วมกันผลักดันออกมา ผมคิดว่าปัจจุบันเราไม่มี”

ศ.สุรชาติกล่าวว่า สถานการณ์ข่าวเรื่องว้าที่ปะทุขึ้นมาในครั้งนี้ เราไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุของปัญหา แตกต่างจากสถานการณ์ในอดีต และเมื่อมองปัญหาชายแดนหลังรัฐประหารในพม่า เป็นอะไรที่ต้องคิดใหญ่เพราะสงครามของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ขยายวงเข้ามาถึงตามแนวชายแดน และที่เห็นชัดคือการสู้รบจนเมืองเมียวดีเกือบแตก

“คำถามเดิมที่ยังไม่ถูกตอบว่าอะไรคือยุทธศาสตร์หรือนโยบายใหญ่ต่อรัฐบาลทหารพม่า ต่อสงครามในพม่า ต่อกลุ่มชาติพันธุ์ และต่อตัวเราเองตามแนวชายแดน ซึ่งเป็น 4 โจทย์ที่ยังไม่เห็นคำตอบ”

นักวิชาการด้านความมั่นคงกล่าวว่า ปัญหาชายแดนไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ อย่างไรก็ต้องเอาเรื่องการเจรจาเป็นหลัก ต่อให้ต้องรบก็ต้องจบด้วยการเจรจา ปัญหาชายแดนตะวันตก เราไม่ได้มีแผนที่ปักปันชัดเหมือนแนวตะวันออก ถือว่าเป็นความล่อแหลม

“วันนี้ผมถึงเรียกร้องให้มียุทธศาสตร์ชายแดนภาคเหนือและตะวันตก เพราะมีความล่อแหลม เวทีหนึ่งที่ควรมีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่คือการเรียนรู้เรื่องเส้นเขตแดน”ศ.สุรชาติ กล่าว
—————-