เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวทหารกองกำลังว้า หรือชื่ออย่างเป็นทางการกองทัพแห่งสหรัฐว้า (United Wa State Army -UWSA) รุกล้ำชายแดนไทยด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยเฉพาะบริเวณหนองหลวง อ.ปางมะผ้า ว่าตนเองไม่เข้าใจว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่เพราะเห็นใช้วิธินิ่งเงียบและทำเฉย ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างแย่เพราะทำให้ปัญหาไม่มีทางออกและหลายเรื่องต้องใช้การตัดสินใจของรัฐบาล
“รัฐบาลควรสร้างความชัดเจนว่าจะเดินไปในทิศทางใดดี ไม่ใช่ใช้วิธีรอให้มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นเพื่อให้คนไทยลืมเรื่องเดิม วิธีการเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ในฐานะประธาน กมธ. ผมตามติดเรื่องนี้ และในวันที่ 9 มกราคม จะพิจารณาเรื่องนี้ พยายามสร้างความชัดเจน แต่ความชัดเจนไม่ได้มาจากผม แต่มาจากหน่วยงานรัฐและการตัดสินใจของรัฐบาล และวันที่ 10 มกราคม ผมตั้งใจจะเดินทางไปที่กองทัพบกเพื่อหารือกับ ผบ.ทบ.ในเรื่องนี้และเรื่องความมั่นคงด้านต่างๆ หลังจากนั้นวันที่ 19-20 มกราคม จะเดินทางไปยังกองทัพภาค 3 เพื่อหารือต่อไป เราใจฐานะฝ่ายนิติบัญญัติพยายามอย่างเต็มที่ แต่พวกเราไม่ได้มีอำนาจที่จะตัดสินใจ คนมีอำนาจคือรัฐบาลที่ต้องสร้างความชัดเจน อย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก เพราะเกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติดและบูรณภาพดินแดนของไทย ซึ่งเราไม่ควรมองว้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มธรรรมดา จริงๆเขาเทียบชั้นได้กับกลุ่มก่อร้าย” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ทราบว่ากองทัพไทยรับรู้สถานการณ์ และมีการเตรียมความพร้อมในทุกรูปแบบเท่าที่เป็นไปได้ แต่การตัดสินใจต้องมาจากรัฐบาล แต่เรายังไม่เห็นแผนอะไร การที่นายภูมิธรรม เวชยชัย เข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึงเป็นเรื่อง “เสียของ” เพราะไม่ได้มีความเข้าใจและแก้ปัญหากลุ่มก่อการร้ายแบบว้าที่ค้ายาเสพติดและล้ำชายแดนไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่กองกำลังว้าสร้างฐานประชิดชายแดนไทยมากยาวนานกว่า 20 ปีจนยาเสพติดมากมายในบ้านเมือง ประธานกมธ. กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยประสบทั้งปัญหายาเสพติดและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่มุ่งกระทำกับคนในชาติ โดยที่ผ่านมารัฐไทยมุ่งแก้ปัญหาแบบง่ายๆ เมื่อมียาเสพติดเข้ามาก็จับกันไป แต่ไม่ได้มีการยกระดับ ไม่ว่าจะเป็นในทางการทูตระดับประเทศ ทั้งๆที่ควรใช้ทุกๆวิธีแก้ปัญหาไม่ว่าจะเป็นทางการทหารหรือพูดคุยกับมหาอำนาจ รวมถึงการสร้างแรงกดดันต่างๆ ซึ่งแทบไม่เห็นจากทางการไทยเลย ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าเพราะต้องการให้ปัญหาเช่นนี้คงอยู่ต่อไปเพราะมีใครได้ประโยชน์จากเรื่องแบบนี้อยู่หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีเหตุผลอะไรที่ใช้คำว่า “กลุ่มก่อการร้าย” กับทหารว้า ประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯกล่าวว่า จริงๆแล้วพยายามหาคำที่จะเหมาะสมแต่ระดับการทำผิดของคนเหล่านี้รุนแรงอยู่ในระดับนั้น เพราะเมื่อพูดถึงยาเสพติด ไม่ได้เป็นเพียงการผลิตเล็กๆน้อยๆ แต่เป็นการผลิตในระดับพันล้านเม็ดซึ่งเป็นการก่อตั้งรัฐยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“หากวันหนึ่งว้าเขาสามารถก่อตั้งรัฐยาเสพติดได้ จะมียาเสพติดจำนวนมหาศาลที่ถูกส่งเข้ามาในประเทศไทย เรากำลังพูดถึงกลุ่มคนที่เอาเงินจากยากเสพติดไปติดอาวุธสงครามในระดับที่รัฐเท่านั้นที่จะมีได้ หากถึงเวลานั้น เราคงไม่สามารถหยุดกลุ่มกองกำลังเหล่านี้ได้อีกต่อไป” นายรังสิมันต์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาหารือกับกลุ่มก่อการร้ายเพื่อแก้ปัญหาควรเป็นอย่างไร นายรังสิมันต์กล่าวว่า คงต้องมีหลายวิธีการในการบริหารจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ วิธีการที่ตนคิดว่าควรดำเนินการเร่งด่วนคือต้องพิจารณาว่าเราได้ทำอะไรที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มนี้บ้างหรือไม่ เช่น สาธารณูปโภค อินเตอร์เน็ต ตลอดจนเรื่องที่ให้เขามาตั้งฐานอยู่ในดินแดนของเรา รวมไปถึงการสำรวจว่าคนเหล่านี้ได้ใช้ทรัพยากรใดในประเทศไทยอยู่บ้าง เช่น สนามบินในการเดินทางของลูกหลาน ระบบธนาคาร รวมการซื้อคอนโดมิเนียมฯลฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นักวิชาการระบุชัดว่ากองกำละงว้า ได้ล้ำดินแดนไทยบริเวณหนองหลวง อ.ปางมะผ้า หากรัฐยังคงเพิกเฉยจะมีวิธีการอย่างไร นายรังสิมันต์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องคิดเรื่องนี้อย่างไรในการกดดัน แต่เชื่อว่าถ้าพูดถึงเรื่องศักยภาพทางการทหาร เราเหนือกว่าแน่นอนเพียงแต่ต้องดำเนินตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก และที่สุดหากทหารว้าไม่ยอมถอนแล้วจะดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งความชัดเจนเหล่านี้จะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมีเจตนาแน่วแน่ที่จะผลักดันเขาออกไป สุดท้ายถ้าว้าไม่ยอมออกไปจริงๆ ผลเสียทั้งหมดก็จะตกอยู่กับว้า
เมื่อถามว่าคิดอย่างไรเมื่อผู้ที่ออกสนับสนุนให้รัฐบาลผลักดันว้าออกไปจากแผ่นดินไทยมักถูกมองว่าต้องการให้เกิดสงคราม นายรังสิมันต์กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่อยากให้เกิดสงครามและสงครามไม่ใช่สิ่งที่อยากได้เพราะมีผลเสียตามมาหลายอย่าง แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือหากไม่ผลักดันทหารว้าให้ออกไปจากแผ่นดินไทยเพราะกลัวภัยสงคราม แต่หากกองกำลังว้ายังอยู่ต่อและอีก 10 ข้างหน้าเขาแข็งแกร่งขึ้นแล้วจะไม่ยิ่งกว่านี้หรือ ตอนนี้เราไม่ได้เจอกับกลุ่มคนที่ก่อการร้ายธรรมดา แต่เป็นกลุ่มก่อการร้ายระดับรัฐ ดังนั้นควรมีมาตรการจัดการอย่างเด็ดขาดได้แล้วก่อนที่เขาจะแข็งแกร่งกว่านี้ เพราะถึงวันนั้นเราอาจไม่สามารถจัดการอะไรได้อีกแล้ว
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามไปยังนายนาวี ศิลป์สุภากุล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ (อช.) ห้วยน้ำดัง ซึ่งเป็นอุทยานฯ ที่มีอาณาเขตในจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ว่า “หนองหลวง” อยู่ในเขตอุทยานห้วยน้ำดังหรือไม่ โดยนายนาวีกล่าวว่า “จากการตรวจสอบแล้วพบว่าหนองหลวงอยู่ในเขตอุทยานฯห้วยน้ำดัง ซึ่งอยู่ติดชายแดน เพียงแต่ใช้ชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกัน และเรื่องนี้ผมได้ทำรายงานส่งไปให้ผู้ใหญ่ทราบแล้ว”
เมื่อถามอีกว่าได้ส่งกองกำลังเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯเข้าไปสำรวจหรือตรวจสอบแล้วหรือยัง ว่ามีทหารว้ามาตั้งฐานอยู่หรือไม่ นายนาวีกล่าวว่า “เรื่องนี้ขอสงวนสิทธิการให้ข้อมูลเพราะทางผู้ใหญ่ต้องการให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้อธิบาย”
เมื่อถามย้ำว่าหนองหลวงอยู่ในเขตอุทยานฯ ห้วยน้ำดังใช่หรือไม่ นายนาวีกล่าวว่า “ใช่ครับ เป็นข้อเท็จจริงที่เราเช็คแล้ว เราเองไม่รู้ว่าจักหนองหลวงเพราะในสารบบไม่ได้เรียกเช่นนั้น แต่เมื่อเช็คจากแผนที่ภาพถ่ายแล้วพบว่าพื้นที่นั้นอยู่ในเขตอุทยานฯ จึงได้รายงานไปยังผู้ใหญ่”
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ลงพื้นที่ชายแดนด้านอ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อสำรวจข้อเท็จจริงกรณีที่มีข่าวว่าทหารว้ารุกล้ำชายแดนไทย และ รศ.ดุลยภาคระบุว่าทหารว้าได้รุกล้ำพื้นที่เข้ามาตั้งฐาน 2-3 แห่งบริเวณหนองหลวงซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง โดยกองกำลังว้าเข้ามาลึกในแผ่นดินไทยนับจากสันเขาที่เป็นเส้นแบ่งแดน 1-2 กม. (อ่านรายละเอียดข่าว https://transbordernews.in.th/home/?p=40899 )
————-