
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 สำนักข่าว Mizzima รายงานเว่า ตามรายงานขององค์กร Save the Children ในปี 2567 ระบุว่า มีเด็ก 103 ล้านคนทั่วโลก หรือ 1 ใน 3 ที่ไม่ได้ไปโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กๆในพื้นที่ความขัดแย้งและในประเทศที่เปราะบาง ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม ปี 2566 องค์กรยูนิเซฟก็เคยออกมาเปิดเผยว่า ในพม่าเอง มีเด็กจำนวน 6 ล้านคนที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์อนาคตที่ไม่แน่นอน และเข้าไม่ถึงการศึกษา
ผลการศึกษาพบว่า เด็กวัยเรียนราว 103 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 คน อาศัยอยู่ใน 34 ประเทศที่ธนาคารโลกจัดประเภทว่าได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งหรือเปราะบาง ต้องพลาดโอกาสทางการศึกษาในปี 2567 นี้ ยกตัวอย่างในประเทศซูดาน เด็ก 17.4 ล้านคนไม่ได้ไปโรงเรียนท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่ในกาซา ซึ่งอาคารเรียน 96% ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เด็กวัยเรียนทั้งหมด 625,000 คนต้องพลาดโอกาสทางการศึกษา
ขณะที่ไนจีเรีย ซึ่งธนาคารโลกถือว่าได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง มีเด็กที่ไม่ได้ไปโรงเรียนมากที่สุดในโลก โดยมีเด็กมากกว่า 18 ล้านคนที่พลาดโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากความยากจน ความไม่ปลอดภัย และแนวปฏิบัติและบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่ทำให้เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงไม่ได้ไปโรงเรียน เชื่อมโยงกันจนส่งผลกระทบต่อการศึกษา สถานการณ์เลวร้ายลงจากการโจมตีโรงเรียนที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศ ตลอดจนภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่ร้ายแรง เช่น อุทกภัยในเดือนกันยายน ซึ่งทำให้รัฐบาลของรัฐบอร์โน (Borno State) ต้องปิดโรงเรียนทั้งหมด
เจมส์ ค็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายสนับสนุนและนโยบายด้านการศึกษาขององค์กร Save the Children เผยว่า “มีเด็กจำนวนมากเกินไปถูกปฏิเสธสิทธิในการศึกษา เนื่องจากโรงเรียนของพวกเขาได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายจากความขัดแย้ง หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ การโจมตีการศึกษา หรือความยากจน ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง จากวิกฤตการณ์ที่ทำให้ครอบครัวไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นได้ เราทราบดีว่าความขัดแย้งและภาวะวิกฤตทำให้เด็กจำนวนมากถูกบังคับให้แต่งงานก่อนวัยอันควร หรือถูกบังคับให้ใช้แรงงานเด็ก อย่างไรก็ดี การศึกษาในสถานการณ์วิกฤตการณ์นั้นช่วยชีวิตเด็กได้ ช่วยปกป้องเด็กจากความรุนแรง การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การแสวงประโยชน์ หรือแม้แต่ป้องกันเด็กๆถูกเกณฑ์เข้ากลุ่มติดอาวุธ นอกจากนี้ ยังให้ความรู้ที่ช่วยชีวิตเด็กๆได้ เช่น วิธีรักษาความปลอดภัยจากระเบิดที่ยังไม่ระเบิดในละแวกบ้านของพวกเขา”
เจมส์ ค็อกซ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำโลกจะต้องรับฟังเด็กๆเหล่านี้และให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษา โดยต้องมั่นใจว่าความต้องการเงินทุนสำหรับการศึกษาในภาวะฉุกเฉินจะได้รับการตอบสนองอย่างครบถ้วนในปี 2568 นี้ และต้องให้การรับรองและดำเนินการตามปฏิญญาโรงเรียนปลอดภัย (Safe Schools Declaration) นอกจากนี้ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องแน่ใจว่าโรงเรียนจะไม่ตกเป็นเป้าหมายหรือถูกใช้เป็นฐานทัพทหาร และต้องแน่ใจว่าเด็กๆ สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและปลอดภัยได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ตาม เขากล่าว
ขณะที่องค์กรยูนิเซฟเคยออกมารายงานด้วยเช่นกันว่า นับตั้งแต่รัฐประหารในพม่า ทำให้เกิดความขัดแย้งและสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงทั่วพม่า และจากสถานการณ์นี้เองทำให้มีผู้พลัดถิ่นภายในมากกว่า 3.2 ล้านคน โดย 40 เปอร์เซ็นต์พบว่าเป็นเด็ก จำนวนประชากรจำนวน 18.6 ล้านคน หรือเกือบหนึ่งในสามของประชากรทั้งประเทศ กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในปี 2024 และมีเด็กอย่างน้อย 6 ล้านคน ที่กำลังเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน รวมถึงการเข้าถึงการศึกษา
รายงานของยูนิเซฟระบุว่า ความรุนแรงที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ ทำให้เด็กๆในพม่าจำนวนมากต้องเผชิญกับความเสี่ยงอย่างร้ายแรงจากการโจมตีทั้งทางตรงและทางอ้อม การเกณฑ์ทหารและการใช้กำลังโดยฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การแต่งงานก่อนวัยอันควร การจับกุมและกักขังโดยพลการ การล่วงละเมิด และการกีดกันการเข้าถึงบริการที่สำคัญ
นอกจากนี้ การโจมตีที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมุ่งเป้าไปที่หรือส่งผลกระทบต่อโรงเรียนและสถานพยาบาลทำให้สถานสงเคราะห์เด็กในพม่า ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดอยู่แล้ว ได้ลดลงมาอีก การทำลายบริการด้านการแพทย์ ส่งผลให้เด็กๆในพม่าไม่มีพื้นที่ปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดี เด็กจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆในพม่า ที่ต้องเผชิญกับภาวะขาดโภชนาการ ขาดการศึกษา และขาดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีและผลผลิตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตอีกด้วย
ที่มา Mizzima, Unicef, Save the Children