สหประชาชาติได้ทำการพยากรณ์จำนวนประชากรทั่วโลก พบภายใน ค.ศ.2100 หรือ พ.ศ.2643 ประเทศไทยจะสูญเสียประชากรไป 34% กล่าวคือเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 21 ประชากรไทยจะหายไป 1 ใน 3 ถือเป็นการลดลงของจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกรองจากประเทศญี่ปุ่น
ประเทศไทยในอนาคตจะมีประชากรสูงวัยมากขึ้น คนเกิดใหม่และวัยทำงานเหลือน้อยลงแต่คนสูงวัยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้บรรยายพิเศษ “ทางเลือกเชิงนโยบายในการจัดการประชากรในสังคมผู้สูงวัยของไทยความเป็นไปได้ และสิ่งที่ต้องทำต่อ” เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ภายใต้วันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากลปี 2567 ว่า “ใน 60 ปีข้างหน้า วัยแรงงานจะลดลงจาก 46 ล้านคนเหลือ 14 ล้านคน วัยสูงอายุมากกว่า 65 ปีจะมีมากกว่าครึ่งหนึ่งถึง 18 ล้านคน”
ภายใต้ความท้าทายดังกล่าว สังคมไทยยังมีโอกาสฝ่าวิกฤติสังคมสูงวัยด้วยนโยบายการนำเข้าประชากร และการทดแทนแรงงานจากภายนอก ที่สหประชาชาติได้นำเสนอ Replacement Migration Policy ไว้ให้กับประเทศต่างๆ ตั้งแต่ปี 2000 แม้ว่าในวันนี้เรายังไม่ได้เห็นนโยบายการนำเข้าประชากรที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาล แต่ได้มีข้อเสนอจากภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจต่อความสำคัญของการนำเข้าประชากรและการทดแทนกำลังแรงงานด้วยแรงงานข้ามชาติ
นำเข้าประชากรเพื่อความอยู่รอดของสังคมไทย
ดร.อภิชาติได้ทำการศึกษาเรื่องประชากรศาสตร์มากว่า 30 ปี เขาเล็งเห็นว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันการจะทำให้เกิดความมั่นคงทางประชากรไทย ในยุคที่สังคมไทยมีผู้สูงวัยมากขึ้นและคนรุ่นใหม่นิยมมีลูกน้อยลงนั้น รัฐบาลมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ การเพิ่มอัตราการเกิดด้วยการออกนโยบายจูงใจให้คนมีลูกมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับนโยบายการเปิดรับการโยกย้ายถิ่นฐานที่เน้นทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ
ปัจจุบันอัตราการเจริญพันธุ์รวมหรือ Total Fertility Rate (TFR) ของประเทศมีค่าเท่ากับ 1.08 เท่ากับว่า ณ วันนี้ผู้หญิงหนึ่งคนจะให้กำเนิดบุตร 1.08 คน ซึ่งการทดแทนประชากรนั้นค่า TFR ต้องอยู่ที่ 2.1 โดยดร.อภิชาติ ได้สร้างแบบจำลองการคาดการณ์จำนวนประชากรของประเทศไทยถึงปี 2100 ไว้ 4 สถานการณ์ด้วยโปรแกรมการฉายภาพประชากร Demproj/Spectrum
หากประเทศไทยไม่ทำอะไรเลย และไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อสิ้นปี 2100 ประชากรไทยจะหายไปครึ่งหนึ่งเหลือ 32 ล้านคน แต่หากมีนโยบายนำเข้าประชากร 200,000 คนต่อปี โดยที่ยังคงอัตราการเกิดเท่าเดิม ประเทศไทยจะมีประชากรเมื่อสิ้นปี 2100 อยู่ที่ 45 ล้านคน แต่หากเราสามารถส่งเสริมอัตราการเกิดสำเร็จ โดยอัตราการเจริญพันธุ์รวมขยับขึ้นไปจาก 1.08 ไปอยู่ที่ 2.1 ใน 75 ปีต่อจากนี้เราจะมีประชากร 42 ล้านคน
สถานการณ์สุดท้ายหากเราทำทั้งสองนโยบายควบคู่กันคือนำเข้าประชากรปีละ 200,000 คน และเพิ่มอัตราการเกิดอยู่ในระดับทดแทน ประเทศไทยจะมีประชากรเมื่อสิ้นปี 2100 อยู่ประมาณ 62 ล้านคน
“ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงต้องมีการวางแผน และดำเนินนโยบายเรื่องการย้ายถิ่นเพื่อทดแทนประชากรที่ลดลงไปอย่างจริงจัง เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะเกิดขึ้น”
ดร.อภิชาติเสนอกรอบนโยบาย ที่ประเทศไทยควรริเริ่มนโยบายการย้ายถิ่นเพื่อทดแทนประชากรแต่เนิ่นๆ ในยามที่การแย่งชิงทรัพยากรมนุษย์ยังไม่รุนแรง โดยเมื่อดูตัวเลขการนำเข้าประชากรของประเทศอื่นๆ พบว่า ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกามีเป้าหมายการนำเข้าประชากรต่อปีมากกว่า 1,000,000 คน ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร 500,000 คน และประเทศอย่างแคนาดาที่เป็นต้นแบบการนำเข้าประชากร โดยมีหน่วยงานที่เรียกว่า Immigration Refugees and Citizenship Canada (IRCC) ที่มีเจ้าหน้าที่ 7,000 คน มีเป้าหมายในการนำเข้าประชากรต่อปีสูงถึง 480,000 คน
“ถ้าประเทศไทยเลือกที่จะไม่มีนโยบายมารองรับ เราจะสุ่มเสี่ยงกับการถูกประชากรภายนอกรุกเข้ามาอย่างไม่มีแผน จากความต้องการแรงงานที่ซ่อนตัวอยู่”
ดร.อภิชาติอธิบายว่าการเริ่มนำเข้าประชากรตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ประชากรที่นำเข้ามาสามารถกลมกลืนกับสังคมไทยได้ง่ายกว่า และสามารถคัดสรรประชากรตามจำนวน / คุณสมบัติที่ต้องการ ซึ่งไม่ได้มองเพียงคุณค่าเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงคุณค่าในเชิงสังคมและวัฒนธรรมด้วย
โดยในเชิงสังคมนั้นดร.อภิชาติแนะนำว่า สังคมไทยต้องก้าวข้ามอุปสรรคในเรื่องความเกลียดกลัวต่างชาติให้ได้ รวมทั้งเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องการให้สัญชาติแก่ราษฎรในประเทศผู้ไม่ได้สัญชาติไทย และบุตรแรงงานข้ามชาติเสียใหม่ เพราะคนเหล่านี้เติบโตมาในสังคมไทย มีความคุ้นเคยและสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี จึงเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เราควรดึงมาเป็นประชากร
“เรากำลังสร้างประเทศครึ่งหนึ่งของที่หายไป ดังนั้นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ต้องมีความสำคัญ”
ในตอนท้ายดร.อภิชาติให้ข้อเสนอว่า ควรมีการจัดตั้งกระทรวง/หน่วยงาน “คนเข้าเมือง พลเมือง และประชากร” โดยเฉพาะ เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการตั้งเป้าหมายและกำหนดคุณสมบัติของการนำเข้าประชากร รวมทั้งให้ความช่วยเหลือดูแลด้านการตั้งถิ่นฐาน และการบูรณาการผู้โยกย้ายถิ่นฐานให้สามารถปรับตัวได้กับสังคมไทย
ฝ่าวิกฤติสังคมสูงวัยด้วยแรงงานข้ามชาติ
ในวันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากลปี 2567 ยังมีเรื่องสังคมสูงวัยถูกหยิบยกขึ้นมาเสวนาภายใต้ข้อหัวเรื่อง ‘โอกาสของประเทศไทยในการฝ่าวิกฤติสังคมสูงอายุด้วยแรงงานข้ามชาติ’ ซึ่งมีผู้แทนจากภาคส่วนประชาสังคม ภาคการเมืองและภาคธุรกิจ ร่วมกันอภิปรายถึงความสำคัญของแรงงานข้ามชาติต่อสังคมผู้สูงวัยที่สังคมไทยกำลังขาดแคลนวัยกำลังงาน
ดร.บุญวรา สุมะโน จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยกล่าวว่า เมื่อมองเศรษฐกิจเป็นห่วงโซ่อุปทาน งานหลายๆ อย่างของเศรษฐกิจไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีแรงงานข้ามชาติ ยกตัวอย่างเช่น งานในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ที่มักใช้แรงงานข้ามชาติเป็นแรงงานที่อยู่บนเรือประมง หรืองานจำพวก 3D คือ งานหนัก (Difficult) งานสกปรก (Dirty) และงานอันตราย (Dangerous) งานเหล่านี้เป็นงานที่แรงงานไทยไม่นิยมทำ
“แรงงานข้ามชาติมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมานาน ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือเราขาดไม่ได้”
ดังนั้นโอกาสในการฝ่าวิกฤตสังคมผู้สูงอายุด้วยแรงงานข้ามชาติ ดร.บุญวรามองว่าขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของภาครัฐ ที่ต้องหยุดการไม่มีนโยบายระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายถิ่นฐาน แต่มักใช้การจัดการแรงงานข้ามชาติด้วยมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นการชั่วคราว ซึ่งล้วนได้รับเสียงวิจารณ์จากสถานประกอบการและตัวแรงงานมาโดยตลอดว่า เป็นระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพและขาดความโปร่งใสในกระบวนการทำงาน
“การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติที่มีประสิทธิภาพเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด เมื่อเทียบกับทางเลือกอื่นในการแก้ไขปัญหาผู้สูงวัย”
ดร.บุญวรา ได้เปรียบเทียบกับนโยบายอื่นๆ ที่จะเป็นการเพิ่มจำนวนประชากรวัยแรงงาน เช่น การยกเลิกทหารเกณฑ์ / การเพิ่มให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงาน / การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยโดยนำเทคโนโลยีมาทดแทนแรงงาน ซึ่งมีความยุ่งยากและซับซ้อนมากกว่าในทัศนะ
ขณะที่ตัวแทนภาคธุรกิจอย่าง ดร.ขวัญฤทัย ศิริพัฒนโกศล จากสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ให้ความเห็นต่อเรื่องนโยบายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติว่า “การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านแรงงานข้ามชาติของรัฐ สร้างผลกระทบต่อองค์กรมากกว่าเรื่องความเกลียดชังที่เกิดขึ้นภายในองค์กร”
ดร.ขวัญฤทัยมองว่า ภาครัฐควรจัดการกระบวนการจัดหางานแรงงานข้ามชาติให้โปร่งใสมากกว่านี้ เพราะกระบวนการปัจจุบันส่งผลกระทบต่อธุรกิจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการจัดหางานที่รัฐกำหนดมาทั้งค่าใบอนุญาตทำงาน, วีซ่า, และขั้นตอนการเปลี่ยนนายจ้างที่มีความยุ่งยากซับซ้อน
“แรงงานข้ามชาติเป็นส่วนสำคัญขององค์กร และภาคธุรกิจอยากแข่งขันกันทำดีในการดูแลแรงงาน แต่เราจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายรัฐที่ไม่ยุ่งยากและไม่มีค่าใช้จ่ายที่สูง รวมทั้งเปิดโอกาสให้สถานประกอบการสามารถพัฒนาทักษะของแรงงานข้ามชาติได้” ดร.ขวัญฤทัยกล่าว
ข้อเสนอของนักวิชาการและนักธุรกินได้รับเสียงตอบรับจาก ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ ผู้แทนคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งระบุว่ารัฐบาลชุดนี้เปิดกว้างที่จะพูดคุยในประเด็นแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งผลงานของรัฐบาลชุดนี้ที่ได้มีการให้สัญชาติกับคนที่ไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 483,626 คน และทางกลไกของคณะกรรมาธิการฯก็สามารถที่จะเป็นตัวแทนในการยื่นจดหมายผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ รวมทั้งเปิดโอกาสให้สามารถนั่งคุยกันในเรื่องนี้ได้ในการประชุมกรรมาธิการ
ท้ายที่สุดภายใต้หลายบทสนทนาและการอภิปรายที่เกิดขึ้นในวันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากลปี 2567 ที่ผ่านมา สังคมไทยจำเป็นต้องยอมรับเรื่องของการโยกย้ายถิ่นฐานที่เป็นเรื่องธรรมดาในสากล
ทุกวันนี้ปรากฎการณ์ “คลั่งชาติ”ในสังคมได้มีให้เห็นเป็นระยะๆโดยเฉพาะเมื่อมีข่าวการให้สัญชาติบุคคลหรือกลุ่มคนที่มาจากเพื่อนบ้าน รวมทั้งการเปิดรับแรงงานจากเพื่อนบ้านเข้ามาทำงาน ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงด้านประชากรของไทยเห็นอยู่ชัดเจนว่าสังคมไทย “ไปไม่รอด” ถ้ายังย่ำอยู่แบบเดิม
หากภาครัฐบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สังคมไทยก็จะได้กำลังแรงงานเพิ่มเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสามารถอยู่รอดภายใต้สังคมผู้สูงวัยที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ แต่ที่สำคัญที่สุดคือในวันนี้รัฐบาลต้องกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนและเริ่มต้นนับ 1 อย่างจริงจัง เพราะวันเวลาแต่ละวันที่ผันผ่านนั่นหมายถึงสังคมผู้สูงวัยที่อ่อนเปรี้ยเพลียแรงขึ้น และกำลังแรงงานที่ลดหายไป