ลลิตา หาญวงษ์
มีข้อถกเถียงว่าหากยกเลิกฟรีวีซ่าจีน เพื่อป้องกันปัญหาสแกมเซ็นเตอร์ จะมีผลเสียมากกว่าผลดี จากสถิติ หรือการสังเกตด้วยสายตา การเปิดฟรีวีซ่าทำให้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ จีน-ไทย-เมียนมา เพิ่มขึ้นจริง ดังนั้น การแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืน คีเวิร์ดจึงอยู่ที่การตัดตอนจีนเทา 2 ทาง เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าและออกไปสแกมเซ็นเตอร์ฝั่งรัฐกะเหรี่ยงได้ แม้จะเป็นจีนเทาเหมือนกัน แต่สแกมเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีลักษณะต่างกันในแต่ละพื้นที่ อยากตอบคำถามว่าทำไมการแก้ปัญหาสแกมเซ็นเตอร์ในกรณีของเมียวดีกับปอยเปตถึงแตกต่างกัน
1.จีนเทาไปปอยเปต จะไปจากไทย หรือจะไปลงเครื่องที่กัมพูชาก็ได้ แต่กรณีของเมียวดี ไม่มีจีนเทาที่ไหนจะลงเครื่องที่กรุงย่างกุ้งแล้วต่อรถไปเมียวดี แม้จะยังมีทางสัญจรอยู่ แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัย สู้ข้ามจากแม่สอดไปเมียวดีง่ายกว่า จีนเทาที่เข้าไปในเมียวดีเกือบ 100% จึงข้ามจากสะพานมิตรภาพ (เส้นทางหลัก) หรือช่องทางธรรมชาติ (เส้นทางรอง) มีคนเสนอว่าช่องทาง/ท่าข้ามน่ะปิดบ้างได้ไหมเพราะมีเยอะเกิน ในจังหวัดตากมีช่องทาง/ท่าข้าม มากถึง 54 แห่ง เฉพาะอำเภอแม่สอด มีท่าข้ามถึง 37 แห่ง แต่ท่าข้ามเหล่านี้เปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากจะปิดบางส่วนก็ต้องมีมาตรการที่รัดกุม
ถ้าจะเอาจริง ท่านต้องกลับมาพิจารณาเรื่องท่าข้ามกันใหม่ แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของการแก้ปัญหา เพราะถ้าปิดท่าข้ามทั้งหมด ตรึงกำลังแน่น ๆ ขึ้นมา คนที่จะลำบากคือประชาชนตาดำ ๆ เพราะจะเกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้นที่ฝั่งเมียวดีอย่างแน่นอน
2. เคสของกัมพูชา รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะขาวหรือเทา แต่ในเคสของพม่า รัฐบาลเมียนมา ไม่สามารถทำอะไรแล้ว ไม่ต่างกับรัฐล้มเหลว เรื่องชายแดนหรือการสแกมเซ็นเตอร์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจึงเป็นเรื่องของชนกลุ่มน้อยล้วน ๆ ดังนั้น หากยังท่องว่าการแก้ปัญหาสแกมเซ็นเตอร์ฝั่งเมียนมา ต้องได้ความร่วมมือจากรัฐบาล SAC นั้น เรียกว่าเกาผิดจุด เราอาจจะรายงาน “เพื่อทราบ” ว่าจะมีมาตรการกว้าง ๆ แต่ SAC ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ในเมียวดี และพื้นที่ส่วนใหญ่ในรัฐกะเหรี่ยงได้ แม้ยังมีมุขมนตรีพม่านั่งอยู่ที่พะอัน แต่นั่นก็เป็นเพียงในนาม เพราะอำนาจที่แท้จริงของรัฐบาลทหารเมียนมาในเขตกะเหรี่ยงทั้ง 7 กองพลน้อยนั้นต้องใช้คำว่ามีน้อยมาก
3. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำรัฐบาลและผู้นำทางทหารของไทย กับรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลทหารพม่า เป็นความสัมพันธ์คนละระดับกัน ดังนั้นต้องใช้กลไกความสัมพันธ์คนละระดับกันในการเจรจา เคยเสียงกระซิบมาว่ามินอ่องหล่ายมองผู้นำเหล่าทัพของไทยยุคปัจจุบันว่าเป็นลูก ๆ หลาน ๆ เป็นน้อง ๆ มีช่วงอายุที่แตกต่างกันมาก (มินอ่องหล่ายอายุ 68 ปี) ไม่ได้ให้ความเคารพตามระบบอาวุโสเหมือนผู้นำทหารไทยสมัยก่อนยุคบิ๊กจิ๋ว (พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) หรือป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ที่มินอ่องหล่ายมองว่าเป็นพ่อบุญธรรม
หากจะเจรจากับเนปีดอว์ อาจฟังดูตลก แต่ไทยต้องรวบรวมบุคลากรด้านความมั่นคงที่เราเคยมีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น put the right man to the right job ต้องใช้มือและทักษะทหารรุ่นเก่า ๆ เตรียมทหารรุ่นเลขตัวเดียวที่มีประสบการณ์ตรงยุค SLORC กับ SPDC ให้เป็นประโยชน์ หลายคนมีความใกล้ชิดกับผู้นำชนกลุ่มน้อยในปัจจุบัน คนเหล่านี้มีทั้งประสบการณ์ มีอายุ และมีกระดูกที่แข็งโป๊ก ฝ่ายไทยต้องจำเอาไว้อย่างแน่นหนักว่า เมื่อใดที่ท่านเจรจาแล้วท่านต้องมี leverage ต้องมีอะไรติดมือมา ไม่ใช่ไปเจรจาแล้วให้เมียนมาได้เปรียบตลอด
ส่วนวิธีแก้ปัญหา คีเวิร์ดอยู่ที่
1.vision ของรัฐบาล ที่จะนำไปสู่ action plans ไม่ใช่การตั้ง KPI ขึ้นมาลอย ๆ
2. การออกแบบกฎหมาย เพื่อบูรณาการ empower หน่วยงานความมั่นคงทั้งหมด และทำให้เขาต้องมาทำงานร่วมกัน มีระบบการสื่อสารป้องกันไม่ให้ออฟไซด์กัน มีข้อต่อที่ดี และ “ซิงค์” กันได้ เพื่อเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาสแกมเซ็นเตอร์ กับอาชญากรรมข้ามแดน ที่มีลักษณะเฉพาะตัวมาก ๆ
3. หาทางร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ เพื่อ “ป้องกัน” ไม่ให้เหยื่อค้ามนุษย์ไปแม่สอด หรือจังหวัดชายแดนตั้งแต่แรก
4. ยืดอกพูดว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนไทยที่มีส่วนกับเรื่องเหล่านี้ จะจัดการเนื้อร้ายพวกนี้ให้หมดไปอย่างจริงจัง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่มีส่วนร่วมสักอย่าง มีหรือคนเหล่านี้จะผ่านด่านตำรวจ ทหาร หลายด่าน จากกรุงเทพไปแม่สอดได้
————