Search

“เป้าหมาย” ที่พุ่งใส่ของผู้แทนไทยใน “AICHR” ผศ.ดร.ภาณุภัทร จิตเที่ยง

เมื่อปลายปีที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งให้ ผศ.ดร.ภาณุภัทร จิตเที่ยง อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และรองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ( ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights: AICHR) โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570

AICHR ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 โดยผู้แทน AICHR มีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปี และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 2 วาระ ปัจจุบันมาเลเซียเป็นประธานอาเซียน และเป็นประธาน AICHR ด้วยเช่นกัน

ที่ผ่านมา AICHR ยังไม่เป็นที่รู้จักของสังคมไทยมากนัก เนื่องจากบทบาทของ AICHR มีข้อจำกัดภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ โดยเฉพาะความแตกต่างทั้งด้านการเมือง การปกครอง และวัฒนธรรมของสมาชิกอาเซียน รวมถึงมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่แต่ละประเทศกำหนดให้มีความแตกต่างกัน ด้วยวิถีอาเซียนที่การตัดสินใจตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปรึกษาหารือและฉันทามติ การจะหาข้อสรุปเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

“AICHR มีการประชุมร่วมกันหลัก ๆ ปีละ 2 ครั้ง และมี special meetings อีก การประชุมแต่ละครั้งจะว่าด้วยวาระที่เป็นประเด็นในแผนการดำเนินงานของแต่ละประเทศ หากประเทศใดต้องการดำเนินกิจกรรมผ่าน AICHR ก็ต้องเสนอให้คณะกรรมาธิการจากประเทศอื่น ๆ พิจารณาร่วมกันด้วย  ทั้งนี้ AICHR ทำงานตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดกรอบทุก 5 ปี และขณะนี้ AICHR ก็กำลังพัฒนาแผนงานฉบับใหม่ (ปี 2026-2030) ซึ่งประเทศต่าง ๆ จะวางแนวทางและกิจกรรมร่วมกัน รายละเอียดการทำงานในบางกิจกรรม AICHR อาจจะกำหนดให้มีคณะทำงานพิจารณาขึ้นกับการหารือกับผู้แทนแต่ละประเทศ” ผศ.ดร.ภาณุภัทร อธิบายถึงกรอบการทำงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ความแตกต่างในเรื่องการเมือง การปกครองและวัฒนธรรมของสมาชิกทั้ง 10 ประเทศทำให้หลายคนสงสัยถึงการหยิบยกประเด็นที่จะนำไปพิจารณาเพราะอาจเป็นเรื่องที่ทิ่มแทงใจบางประเทศ

“การพิจารณาประเด็นใดประเด็นหนึ่งจะมีการเจรจาก่อนตัดสินใจ รวมถึงการหารือแบบไม่เป็นทางการก่อน เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกัน เพื่อวางกรอบเรื่องสิทธิมนุษยชน บางประเทศอาจไม่เห็นด้วยทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องการใช้คำและกรอบคิด ซึ่งต้องอาศัยการพูดคุยเพื่อให้ประเด็นเหล่านั้นสามารถก้าวต่อไปได้ ดังนั้น กระบวนการทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการจึงสำคัญ อันจะนำมาซึ่งฉันทามติต่อประเด็นนั้นจากทุกประเทศ” ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนคนที่ 4 ของไทยพูดถึงวิธีการทำงานของ AICHR

“แม้จะมีข้อจำกัด แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันและการทำงานร่วมกัน จะทำให้อาเซียนสามารถผลักดันบางประเด็นร่วมกันได้ เช่น ประเด็นการค้ามนุษย์ซึ่งประเทศสมาชิกต่างก็ให้ความสำคัญ รวมถึง ประเด็นเรื่องเด็ก ผู้หญิง และคนพิการที่เป็นประเด็นร่วมที่ชาติสมาชิกอาเซียนพยายามหาทางคุ้มครองคนกลุ่มเหล่านี้”

เมื่อถามว่าในช่วงการดำรงตำแหน่ง 3 ปีวางเป้าหมายประเด็นอะไรไว้บ้าง ผศ.ดร.ภาณุภัทร กล่าวว่าพิจารณาไว้ว่าจะมี 3 เรื่อง โดยเป็นการทำงานต่อยอดที่ผู้แทนท่านก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการไว้ ทั้งเรื่องสิทธิคนพิการ ซึ่งมีแผนแม่บทมาก่อนแล้ว สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งยังอยู่ในช่วงการเจรจาเพื่อออกปฏิญญาสิ่งแวดล้อม

“สำหรับประเด็นที่ผมอยากให้ความสำคัญเป็นอย่างแรก คือ Right to Peace สิทธิในสันติภาพ เป็นประเด็นร่วมของหลายประเทศ เพื่อให้ประชาชนในภูมิภาคมีสิทธิที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข สำหรับเรื่องนี้ก็จะหยิบเอาประเด็นที่มีการวิจัยมาแล้วของลาวมาต่อยอด ส่วนที่ผมสนใจคือการทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ไม่มีสันติสุข ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสิทธิด้านอื่น ๆ  ที่สำคัญ ผลที่ตามมาจากความขัดแย้ง คือ ช่องว่างทางการเมือง (power vacuum) ทำให้บางพื้นที่เข้าไม่ถึงกรอบกฎหมายต่าง ๆ ส่งผลให้ธุรกิจผิดกฎหมายเติบโตขึ้น เช่น สแกมเมอร์หรือการค้ามนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบสุของประชาชนและก็เชื่อมโยงกับประเด็นที่ 2 ที่อยากขับเคลื่อน คือ สิทธิในการเข้าถึงสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่ปลอดภัยและเท่าเทียม ซึ่งผมเองก็จะวางกรอบประเด็นนี้ภายใต้ร่มใหญ่ว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (Business and Human Rights: BHR) เพื่อวางกรอบคุ้มครองสิทธิในโลกดิจิทัลของประชาชน รวมถึงผลักดันให้ภาคธุรกิจดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นผู้แทนไทยในอดีตเคยผลักดันมาแล้วเช่นกัน”

“ประเด็นที่ 3 คือ Rights of Migrants สิทธิของผู้โยกย้ายถิ่นฐาน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศเราเองก็มีแรงงานข้ามชาติจากเพื่อนบ้านและต่างประเทศเข้ามาเยอะ จึงจำเป็นต้องมีการวางกรอบการทำงาน อาเซียนมีกรอบในเรื่องนี้อยู่แล้ว การทำงานจึงเป็นการต่อยอด เช่น สิทธิของเด็กในบริบทของการโยกย้ายถิ่นฐาน  ผมอยากจะเสนอให้อาเซียนวางแนวทางในการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่มีคุณูปการต่อไทยและชาติอาเซียน ให้คนกลุ่มนี้ได้รับความคุ้มครอง มีสิทธิในการเข้าถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี โดยจะเอาประเด็นนี้กลับไปเชื่อมกับ BHR ให้นายจ้างมีแนวทางคุ้มครองกลุ่มคนนี้”

เมื่อถามย้ำว่าประเด็นต่าง ๆ ที่ตั้งเป้าไว้ดูจะล่อแหลม และบางประเทศอาจจะไม่เห็นด้วย ผศ.ดร.ภาณุภัทร กล่าวว่า  “เป็นความท้าทายครับ แม้ไทยจะให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้ แต่บางประเทศอาจไม่เห็นด้วย ดังนั้น รูปแบบการทำงานอาจต้องเริ่มจากการทำงานกับบางประเทศที่มองเห็นประโยชน์จากเรื่องนี้ร่วมกัน สร้างพันธมิตรกันแล้วนำไปสู่การวางกรอบและหารือกว้าง ๆ แล้วค่อยมาวางแผนงานที่มีแนวทางเฉพาะต่อไป จึงต้องหาพันธมิตรมาร่วมทำงาน แล้วค่อย ๆ ผลักดันในเวทีระหว่างประเทศ”

ปัจจุบันสถานการณ์ของธุรกิจสีเทาทั้งขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ และแก๊งสแกมเมอร์ที่ต้มตุ๋นหลอกลวงและบังคับคนจากทั่วโลกมากักขังทำงานอยู่ตามชายแดนของหลายประเทศสมาชิก เป็นประเด็นที่ AICHR สามารถหยิบยกมาหาทางแก้ปัญหาที่เป็นฉันทามติร่วมได้หรือไม่

“เรื่องหนึ่งที่ AICHR มีการพูดคุยกันบ้าง คือ สิทธิดิจิทัล (digital rights) ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการทำงานของอาเซียนในภาพใหญ่ที่มีคณะทำงานเฉพาะกิจสำหรับสิทธิดิจิทัลและความปลอดภัยออนไลน์เพื่อที่จะดูว่าการละเมิดสิทธิดิจิทัลกระทบสิทธิของคนอย่างไร ดังนั้นการทำงานในประเด็นนี้ของ AICHR ก็จะเป็นการทำงานที่เชื่อมโยงกับภาพใหญ่ของ ASEAN”

เมื่อถามถึงธุรกิจสแกมเมอร์เป็นปัญหาร่วมของหลายชาติ หาก AICHR พิจารณาร่วมกันผลที่ออกมาจะเป็นไปในรูปแบบไหน ผู้แทน AICHR กล่าวว่า “อาจจะออกมาเป็นปฏิญญา เพื่อวางกรอบทิศทางการทำงานคุ้มครองสิทธิด้านนี้ หรืออาจออกเป็นคำมั่นว่าด้วยสิทธิด้านดิจิทัลที่ครอบคลุมหลักการต่างๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาแนวปฏิบัติและกิจกรรมในแต่ละประเทศต่อไป”

หลายประเด็นที่ AICHR พิจารณาและได้ฉันทามติ แต่ทำอย่างไรให้ฉันทามตินี้มีพลังเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในประเทศสมาชิก

“อาจต้องกลับมาทบทวนขอบเขตงานใหม่ เพราะขอบเขตงานนี้เป็นสิ่งที่กำหนดว่าผู้แทนฯ จะทำงานอะไรได้บ้าง หากทำงานเกิน TOR บางประเทศก็อาจท้วงว่าเราทำงานเกินขอบเขตงาน ดังนั้นก็ควรพิจารณาขอบเขตงานนี้ให้ครอบคลุมเรื่องการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนากระบวนการติดตาม การรับข้อร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชน ควรทำให้ชัดเจนขึ้น รวมถึงเรื่องการเพิ่มอิสระของผู้แทน เพราะผู้แทนบางประเทศยังยึดโยงกับรัฐบาลของตนมากเกินไป อาจไม่มีอิสระในการปฏิบัติงาน แม้แต่การพัฒนากรอบความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในภูมิภาคก็อาจติดกับดักนโยบายของรัฐบาลบางประเทศ

“สุดท้าย คือ การให้มีสำนักงานเลขาธิการของ AICHR เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกวันนี้แต่ละประเทศดำเนินงานผ่านบุคคลหรือผู้ช่วยทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ หากมีสำนักงานเลขาธิการฯ การทำงาน ด้านต่างๆ เช่น ระบบจัดการข้อร้องเรียน ก็จะสามารถดำเนินงานอย่างต่อเนื่องแม้ว่าประธาน AICHR จะหมุนเวียนก็ตาม”

            เมื่อถามว่าสังคมไทยจะใช้ประโยชน์จาก AICHR อย่างไรได้บ้าง ผู้แทน AICHR ของไทยกล่าวว่า ไทยเรามีจุดแข็งหลายอย่าง เช่น กระบวนการสรรหาผู้แทน และการสนับสนุนความเป็นอิสระของผู้แทน ทำให้ผู้แทนสามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มที่ และเปิดช่องทางให้กลุ่มต่างๆ เข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่มีความสำคัญในระดับภูมิภาค

“ไทยเราเคยเป็นผู้นำอาเซียนมาก่อน บางประเด็นที่เป็นประเด็นร่วมของชาติอาเซียนและผลประโยชน์ของประชาชนในภูมิภาคก็สามารถนำมาผลักดันให้เป็นประเด็นภูมิภาคได้ เช่น สิทธิสิ่งแวดล้อม สิทธิเด็ก สิทธิคนพิการ หากเราสร้างกรอบความคุ้มครองและฉายภาพว่าไทยให้ความสนใจในประเด็นนี้ให้แก่ชาติสมาชิกได้เห็น ไทยเองก็สามารถใช้ประโยชน์จากกรอบแนวทางเหล่านี้ในการทำงานคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศได้อีกมาก

“ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นที่หลายประเทศไม่สบายใจ เพราะมีการปกครองที่แตกต่าง แต่หากเรามีเจตนาดีจริง และตระหนักว่าสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจของพหุสังคมอาเซียน AICHR ก็อาจเป็นฟันเฟืองให้เกิดการวางกรอบการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้ เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ไม่ได้ยึดโยงกับประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นสิทธิสากลและไทยควรใช้หลักการนี้เป็นพื้นฐานสำหรับการทำงานเรื่องนี้ในระยะยาว”

  

On Key

Related Posts

มาเฟียจีนกระเจิงหนีจากเมียวดี ระดับหัวหน้าหนีซุก กทม. บางส่วนหลบไปพะอัน-มัณฑะเลย์ ทางการแดนมังกรส่งรายชื่อไล่ล่า 5 ระดับบิ๊ก BGF ส่ง 200 คนให้แล้ว-รัฐบาลทหารพม่าขอเอี่ยวส่งชาวต่างชาติชเวโก๊กโก่ให้ไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากชเวโก๊กRead More →

ทางการไทยไม่พร้อมรับชาวต่างชาตินับหมื่นในชเวโก๊กโก่ “ชิตตู”หวั่นภาระใหญ่หลังเปิดปฎิบัติการสำรวจคัดแยกตั้งแต่เช้า-เผยมีหญิงไทย 700 คนอยู่ในสถานบริการ “ศ.ปิ่นแก้ว”ระบุมาเฟียจีนระดับบอสหนีไปอยู่เมืองพะอันหมดแล้ว จี้รัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครRead More →

เวทีสุดท้ายรับฟังเขื่อนสานะคาม ชาวบ้านเรียกร้อง สปป.ลาว รับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน ด้านภาค ปชช. จัดเวทีคู่ขนานยุติเขื่อนแม่น้ำโขง-พัฒนาพลังงานทางเลือกแทน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรมRead More →