Search

เผยอีไอเอโครงการผันน้ำยวมฉบับท้องถิ่น-นักวิชาการ มช.หักล้างข้อมูลกรมชลประทาน-ทีมนักวิชาการ มน. ชาวบ้านสะอื้นเผยข้อมูลสุดคลาดเคลื่อน ทนายความเผยฟ้องมากกว่าขอให้ศาลยกเลิกแต่เอาผิดผู้ดำเนินการด้วย

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 ที่ห้องประชุมอ่างแก้ววิลล่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา  คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดการสัมมนา “การร่วมผลิตสร้างความรู้ในงานวิจัยวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงในโครงการผันน้ำยวม-สาละวิน” และเปิดตัวหนังสืองานวิจัยชุมชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลแนวส่งน้ำนวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล โดยมีชาวบ้าน นักวิชาการ สมาชิกวุฒิสภา นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักฏหมายประมาณ 70 คนเข้าร่วม

ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ที่ปรึกษาคณะวิจัย กล่าวว่า เมื่อ 25 ปีก่อน ภาคประชาสังคมได้ตื่นตัว โดยรวมตัวกันเป็นสมัชชาคนจนเพื่อเรียกร้องสิทธิและมีส่วนร่วม เฝ้าระวังโครงการขนาดใหญ่ และต่อสู้กับการสร้างเขื่อนปากมูลที่ จ.อุบลราชธานี แม้สมัชชาคนจนในขณะนั้นเข้มแข็งมาก แต่ชาวบ้านต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางเพื่อเรียกร้อง จึง ได้เข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านให้เปลี่ยนพื้นที่การต่อรองเป็นพื้นที่ความรู้ เริ่มต้นการเปิดพื้นที่วิจัยไทบ้าน โดยตอนนั้นชาวบ้านตั้งชื่อว่าวิจัยไทบ้านเพื่อแสดงว่าพวกเขาทำกันเองที่สะท้อนความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้าน กับแม่น้ำ ปลา และ พืชพันธุ์และสมุนไพรริมน้ำมูล

ดร.ชยันต์กล่าวว่า การวิจัยโดยชาวบ้านเป็นประเด็นที่เหล่านักวิชาการคำนึงมาตลอด ทั้งการทำงานกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย จนเมื่อ 2-3 ปีก่อนมีข่าวว่ากรมชลประทานได้เข้ามาเก็บข้อมูลเพื่อประกอบการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ แต่พบว่าการเก็บข้อมูลนั้น ไม่มีลักษณะการเข้ามาเก็บข้อมูลทางวิชาการอย่างชัดเจน ทางศูนย์ชาติพันธุ์ฯจึงหาวิธีที่จะให้ชาวบ้านได้รวบรวมข้อมูลเป็นอีไอเอฉบับประชาชน โดยวิธีการวิจัย เป็นการร่วมมือระหว่างชาวบ้านและนักวิชาการ จึงเป็นการร่วมผลิตสร้างความรู้ โดยงานหลักมาจากชาวบ้าน และมีนักวิจัยเป็นผู้ช่วยเขียนด้วยระดับภาษาและความเข้าใจของชาวบ้าน และการปรับแต่งให้เข้ากับเอกสารวิชาการ ชาวบ้านจึงต้องมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มาจากวิถีชีวิตตนเองกับธรรมชาติที่ตนพึ่งพิง

“ถ้ามีโครงการขนาดใหญ่เข้ามา จะทำให้สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ปลา พืชพันธุ์สูญหายไป ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านจะสูญหายไปด้วย จึงขอให้ชาวบ้านภาคภูมิใจที่นำเสนอชีวิตและการพึ่งพาธรรมชาติตั้งแต่เราเกิด เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ในวันนี้ในวันที่ครบ 60 ปีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชาวบ้านที่มาตรงนี้เป็นการตอกย้ำจุดยืนว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เป็นผู้ผลิตสร้างความรู้โดดเดี่ยว แต่มีชาวบ้านที่ร่วมสร้างความรู้เช่นกัน”ดร.ชยันต์ กล่าว

ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า ขณะนี้เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำเง-เมย-ยวม-สาละวิน ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คือ กรมชลประทานในฐานะผู้ดำเนินโครงการ เนื่องจากเราเห็นถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายในเชิงขั้นตอนและกระบวนการ เช่น ความบกพร่องในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งตามรัฐธรรมนูญและตามหลักเกณฑ์ในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่เป็นไปตามกฎหมาย และไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีความบกพร่อง มีข้อมูลอันเป็นเท็จ และใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จในการประกอบการพิจารณาผ่านรายงานดังกล่าว ที่สำคัญคือ ความไม่เหมาะสมและได้สัดส่วนของโครงการที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน

“เราฟ้องเพื่อให้ศาลสั่งว่าโครงการนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายและสั่งให้ยกเลิก และการทำอีไอเอที่ไม่ชอบ รวมทั้งกระบวนการฟังความคิดเห็น เราคิดว่าเวลาที่หน่วยงานทำอะไรต้องรับผิดชอบ ถ้าศาลสั่งแค่เพิกถอนจะทำให้เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินโครงการหลุดพ้นการรับผิด ดังนั้นจึงต้องการให้เขาหลาบจำและไม่กระทำผิดซ้ำอีก”ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าว

ส.รัตนมณี พลกล้า กล่าวว่า ขณะนี้ศาลได้รับฟ้องแล้ว และผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นคำให้การต่อศาลทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เรากำลังทำเอกสารโต้แย้งคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดี จากเอกสารที่ส่งมาเราพบว่า บางแห่งรูปกับสถานที่ในอีไอเอชาวบ้านบอกเป็นคนละแห่งกัน ชาวบ้านให้ความเห็นต่างๆ เป็นกระบวนการที่เราทำงานกันต่อร่วมระหว่างทนายกับชุมชน

ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า ขณะเดียวกันได้มีโครงการสายส่งไฟฟ้าเกิดขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่ล้อไปกับโครงการผันน้ำยวม แต่เชื่อว่าเป็นโครงการเดียวกันเพราะการผันน้ำต้องใช้ไฟฟ้า เพียงแต่เขาแยกโครงการ เพราะถ้าเอาไปรวมด้วย ทำให้ผลกระทบยิ่งใหญ่เป็นสองเท่า โดยโครงการผันน้ำยวมเขาอ้างว่าไม่ต้องตัดต้นไม้แต่เพราะเป็นการขุดอุโมงค์ลอดป่า แต่โครงการทำสายส่งไฟฟ้าต้องตัดต้นไม้แน่นอนเพราะต้องใช้พื้นที่กว้าง 50-100 เมตรตลอดแนว

นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะมีข้อมูลที่นักวิชาการที่อยู่แต่ในห้องไม่รู้ และในอีไอเอของรัฐก็ไม่เคยสะท้อนข้อเท็จจริง โดย กสม.ก็สามารถนำข้อมูลในงานวิจัยนี้ไปใช้ด้วย เพราะมีหลายเรื่องที่ในอีไอเอไม่ได้เขียนไว้ เช่น เรื่องเศรษฐกิจและรายได้ที่ชุมชนได้รับ รวมถึงเรื่องที่ทางจิตวิญญาณและภูมิปัญญาทางชาติพันธุ์

ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์สันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่านิยามของวิจัยที่รับใช้บริษัทหรือรับใช้การพัฒนาประเทศ การอ้างประโยชน์เช่นนี้มักเป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่คนเล็กคนน้อยกลับไม่ได้ประโยชน์ เป็นโจทย์ของยุคสมัยคือยิ่งทำโครงการก็ยิ่งทำลายความหมายของชีวิตคนโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่ส่วนกลาง เราเห็นว่าวิกฤตของระบบนิเวศปัจจุบันผันแปรกลายเป็นวิกฤตของภูมิอากาศ

“คุณค่าของระบบนิเวศจะประเมินกันอย่างไร สิทธิของแม่น้ำ สิทธิของต้นไม้ และสิทธิของคนรุ่นหลังๆเราจะทำอย่างไร นักวิชาการจะขุดหลุมฝังคนรุ่นใหม่หรือ ความรับผิดชอบของนักวิจัยไม่ได้อยู่แค่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่อยู่ที่การประเมินค่าความรู้ เราควรตีค่าชีวิตที่ร่มเย็นอย่างไร งานวิจัยบางชนิดกลายเป็นการส่งเสริมอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม”ศ.สุริชัย กล่าว

นายประเสริฐ ประดิษฐ์ ประธานสภาวัฒนธรรมแม่ฮ่องสอน กล่าวว่าอีไอเอผันน้ำยวมนั้น นักวิจัยไม่ซื้อสัตย์ต่อวิชาการ กลายเป็นเบี้ยล่างของทุนและนักการเมือง

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ทำให้เผชิญหน้ากับการวิจัยที่ละเมิดจริยธรรมการวิจัย กรณีทำอีไอเอของโครงการผันน้ำยวม คนทำวิจัยต้องรับผิดชอบงานวิจัยของตัวเอง และเป็นมาตรฐานของงานวิจัยที่ควรถูกตรวจสอบและคนเสียชื่อคือมหาวิทยาลัย

“หน้าที่ของนักวิจัยต้องไปบอกเขาว่าเราเข้าไปทำวิจัย แต่การไปคุยกันที่ร้านลาบแล้วเอาไปเขียนในงานวิจัยเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง นักวิจัยต้องขอความยินยอมจากเขาก่อน โครงการวิจัยที่หลบๆซ่อนๆหรือให้ความจริงครึ่งเดียวเป็นเรื่องที่ไม่สมควร”นายบุญเลิศ กล่าว

ขณะที่นายสิงห์คาร เรือนหอม นักวิจัยท้องถิ่นบ้านแม่เงา อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่าถือว่าเป็นครั้งแรกของชาวบ้านที่ได้ทำการวิจัย โดยเดิมทีเรารู้สึกอ่อนใจไม่รู้จะคัดค้านอย่างไร แต่เมื่อทีมนักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่นำโดย อ.ชยันต์และ อ.มาลี สิทธิเกรียงไกร ลงไปเพื่อขอให้ร่วมกันศึกษา แม้ชาวบ้านไม่เข้าใจคำว่าวิจัย แต่ถ้าชวนไปศึกษาก็เข้าใจ ทำให้ชาวบ้านพร้อมตอบตามความเป็นจริง ชาวบ้านรู้ในภูมิปัญญาของชาวบ้าน การทำวิจัยของ อ.มาลีพร้อมคณะทำให้ชาวบ้านภูมิใจที่ได้ใช้สิทธิตามภูมิปัญญาของตัวเอง ข้อมูลทั้งหมดเป็นความคิดชาวบ้านแต่ไม่รู้จะตีแผ่อย่างไร อาศัยที่นักวิชาการเอามาเขียนเป็นตำรา ชาวบ้านมีความคาดหวังมากเพราะอีไอเอของกรมชลประทานนั้น ไม่ใช่ความจริง ยกตัวอย่าง เรื่องพันธุ์ปลา กรมชลประทานบอกว่าเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์ได้ แต่ชาวบ้านบอกไม่ได้ แม้แต่ชื่อปลาเขายังเรียกไม่ถูก ปลาคมเขาไปเขียนว่าปลาเวียนซึ่งไม่ใช่เลย ดังนั้นงานวิจัยของชาวบ้านแม้จะเป็นเล่มเล็กๆ แต่ชาวบ้านคุยกันแล้วคุยกันอีก

นายศักดิ์ชัย แยมู นักวิจัยท้องถิ่นบ้านแม่งูด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่กล่าวว่า ชาวบ้านแม่งูดเคยย้ายถิ่นฐานตอนสร้างเขื่อนภูมิพลมาแล้ว ลำห้วยแม่งูดเคยเหมือนลำห้วยทั่วไป แต่เมื่อสร้างเขื่อนทำให้ระบบนิเวศห้วยแม่งูดเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับที่นาไม่สามารถทำได้เพราะมีน้ำเขื่อนหนุนขึ้นมากลายเป็นหาดทราย เมื่อมีโครงการผันน้ำยวมขึ้นมา ชาวบ้านรู้สึกกังวล และมีข้อมูลอยู่น้อยมากในอีไอเอ เช่น บอกว่าชาวบ้านได้รับผลกระทบ 3 ครอบครัว แต่จริงๆแล้วทั้งหมู่บ้าน โดยคนที่ทำอีไอเอของกรมชลประทานนั้น ไม่เคยมีใครไปพบปะชาวบ้านหรือสอบถาม มีเพียงส่งแบบสอบถามแบบฟอร์มมาทาง อสม.ให้ชาวบ้านตอบ นอกจากนี้ยังไม่เคยมีใครให้ข้อมูลชาวบ้านเรื่องผลกระทบต่างๆเลย แต่จู่ๆอีไอเอก็ผ่านกระบวนการ

ขณะที่นางยุพา จ่อแผ ชาวบ้านแม่งูด กล่าวว่าตอนย้ายบ้านครั้งแรก ตนยังไม่เกิด พอย้ายครั้ง 2 ตอน 7 ขวบพ่อใช้กระสอบหาบพวกตน 3 คน ซึ่งตนไม่สามารถถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือได้ และได้เล่าให้ทีมนักวิจัยฟัง ตัวหนังสือไม่สามารถกลั่นกรองจากหัวใจได้หมด

“เราใช้จอบใช้เสียมขุดเพื่อสร้างพื้นที่บ้านของเรา พ่อต้องย้ายยุ้งข้าวออกไปกอ่น เพราะถ้ามีข้าว ลูกจะรอด ขอให้มีข้าวก่อน บ้านค่อยทำทีหลัง จนเราได้บ้านที่มั่นคง แต่วันหนึ่งโครงการผันน้ำยวมก็จะเกิดขึ้น ทำให้รู้สึกเหมือนกับครั้งนั้นที่เราย้ายบ้านอีก ทุกวันนี้เราปลูกลำไยส่งลูกเรียน เพื่อวันข้างหน้าเหมือนหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ เราอยู่ในที่ดินนี้มาเรื่อยๆ เชื่อว่าในวันข้างหน้า เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ก็ต้องเรียกร้องสิทธิของเขา”นางยุพา กล่าวพร้อมเสียงสะอื้น

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่าเด็กรุ่นใหม่ยังขาดเรื่องนิเวศ-วัฒนธรรมซึ่งมีผลต่อความหวงแหนในทรัพยากรท้องถิ่น เช่นเดียวกับคนรุ่นตนที่ขาดการเรียนประวัติศาสตร์ในพื้นที่ของตัวเองเพราะมีวัฒนธรรมที่ส่งเข้ามา เป็นสิ่งที่ถูกกระทำเพื่อให้เป็นคนไทยเหมือนกันหมด ดังนั้นควรให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เพื่อให้เชื่อมต่อกับธรรมชาติให้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานวิจัยของชาวบ้านและนักวิชาการครั้งนี้เป็นการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภาคประชาชน มีข้อมูลหลายด้านที่แตกต่างจากข้อมูลในอีไอเอของกรมชลประทานซึ่งจัดทำโดยทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยนเรศวร เช่น จำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบ ชนิดของพันธุ์ปลาเฉพาะถิ่น เรื่องการประเมินมูลค่าของเศรษฐกิจชุมชน (อ่านรายละเอียดหนังสือใน https://transbordernews.in.th/home/?p=41161 )

———-

On Key

Related Posts

มาเฟียจีนกระเจิงหนีจากเมียวดี ระดับหัวหน้าหนีซุก กทม. บางส่วนหลบไปพะอัน-มัณฑะเลย์ ทางการแดนมังกรส่งรายชื่อไล่ล่า 5 ระดับบิ๊ก BGF ส่ง 200 คนให้แล้ว-รัฐบาลทหารพม่าขอเอี่ยวส่งชาวต่างชาติชเวโก๊กโก่ให้ไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากชเวโก๊กRead More →

ทางการไทยไม่พร้อมรับชาวต่างชาตินับหมื่นในชเวโก๊กโก่ “ชิตตู”หวั่นภาระใหญ่หลังเปิดปฎิบัติการสำรวจคัดแยกตั้งแต่เช้า-เผยมีหญิงไทย 700 คนอยู่ในสถานบริการ “ศ.ปิ่นแก้ว”ระบุมาเฟียจีนระดับบอสหนีไปอยู่เมืองพะอันหมดแล้ว จี้รัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครRead More →

เวทีสุดท้ายรับฟังเขื่อนสานะคาม ชาวบ้านเรียกร้อง สปป.ลาว รับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน ด้านภาค ปชช. จัดเวทีคู่ขนานยุติเขื่อนแม่น้ำโขง-พัฒนาพลังงานทางเลือกแทน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรมRead More →