Search

โควิด รัฐประหาร หรือทรัมป์ “เราต้องรับมือกันมันให้ได้”

ใกล้รุ่ง พรหมสุภา

27 มกราคม 2568 ความโกลาหลที่เกิดขึ้นหลังประกาศปิดโรงพยาบาลค่ายผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่หละและอุ้มเปี้ยม จ.ตาก อันเป็นผลจากคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการยืนยันข้อเท็จจริงหนึ่งว่า ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้ลี้ภัย 103,523 คน (ธันวาคม 2567, ข้อมูลจาก The Border Consortium) ในค่ายผู้ลี้ภัยชายแดน 9 แห่ง นั้นเป็นงบประมาณจากนานาชาติเป็นหลัก ไม่ได้เป็นภาระภาษีของคนไทยดังที่มีผู้กล่าวหา

คำสั่งของทรัมป์ คือ การระงับความช่วยเหลือต่างประเทศทั่วโลกเว้นอิสราเอลและอียิปต์เป็นเวลา 90 วัน เพื่อทบทวนว่าโครงการทั้งหมดสอดคล้องกับนโยบายที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ ปลอดภัย และรุ่งเรืองอีกครั้งหรือไม่

ปัจจุบัน โรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง 5 แห่งใน จ.ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี กับค่ายผู้ลี้ภัยชาวกะเรนนีอีก 2 แห่ง ใน จ.แม่ฮ่องสอน รวมถึงงานสุขาภิบาล งานควบคุมป้องกันโรคติดต่อ งานแม่และเด็ก และความรับผิดชอบในการส่งต่อผู้ป่วยหนักจากค่ายผู้ลี้ภัยไปรับการรักษาในโรงพยาบาลไทย สำหรับผู้ลี้ภัย 91,709 คน อยู่ในความดูแลขององค์กร International Rescue Committee (IRC) ซึ่งเป็นองค์กรมนุษยธรรมสหรัฐฯ ที่รับการสนับสนุนโดยตรงจากงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ เหลือเพียง 2 ค่ายที่อยู่ในความดูแลขององค์กรประเทศอื่น ซึ่งยังไม่มีข้อมูลว่าจะได้รับผลกระทบจากการรับทุนของสหรัฐฯบ้างหรือไม่ 

นอวา (นามแฝง) ผู้ลี้ภัยหญิง สมาชิกองค์กรสตรีชาวกะเหรี่ยงในค่ายแม่หละกล่าวว่า  “ชาวบ้านไม่เข้าใจว่าทำไมผู้มีอำนาจถึงสามารถจะทำก็ทำได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และทำถึงขนาดหยุดงานทั้งหมด ปิดโรงพยาบาลทั้งผู้ป่วยนอกผู้ป่วยใน  แล้วคนเจ็บป่วย วัณโรค เบาหวาน ความดัน คนท้อง คนคลอด หรือคนป่วยเรื้อรังที่ต้องไป follow-up เป็นประจำจะไปที่ไหน? เด็กจะไปฉีดวัคซีนที่ไหน ตอนนี้ชาวบ้านเครียดมาก กลัวด้วย เราไม่รู้จักโรงพยาบาลที่ไหนนอกจากโรงพยาบาลท่าสองยาง แต่จะออกไปก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ไทยอนุญาต ไม่มีค่ารถค่ารักษาก็ไม่กล้าไป”

มึหล่าทู (นามแฝง) ผู้ลี้ภัยหญิงสูงวัยจากค่ายอุ้มเปี้ยม ป่วยด้วยโรคเบาหวานและโรคไตมานานแล้ว วันนี้เธอมีนัดล้างแผลเรื้อรังที่โรงพยาบาลในค่ายอุ้มเปี้ยมและยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“ถ้าใครที่พอมีเงิน เขาจะหารถเช่าไปโรงพยาบาลอุ้มผาง แต่ถ้าไม่มีเงินค่ารักษา เราก็เกรงใจ ผู้ลี้ภัยบางคน แม้แต่ยาพาราฯเขายังไม่มีเงินจะซื้อ เมื่อก่อนนี้ IRC มีรถไปส่ง ดูแลค่าอาหารระหว่างทางกับค่ารักษาให้หมด แต่ตอนนี้โรงพยาบาลร้างแล้ว เหลือแต่คนอาการหนักแบบไม่ยกไปไหนไม่ได้จริง ๆ นั้นแหละ คนอื่นเขาให้แบกกลับบ้าน”

เธอเล่าเสริมอีกว่า เมื่อคืนวานนี้เอง หญิงเพื่อนบ้านเพิ่งเช่ารถไปคลอดที่โรงพยาบาลอุ้มผาง เพราะโรงพยาบาลในศูนย์ปิด ซึ่งโรงพยาบาลไทยก็เข้าใจปัญหาและดูแลให้เป็นอย่างดี 

“ฉันนึกไม่ออกว่าจะอยู่อย่างไรอีก 90 วัน เพราะแค่ 1-2 วันก็แย่แล้วกับการไม่มีหมอไม่มีพยาบาล แล้วเราจะฝากชีวิตไว้กับใคร นี่คือสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น มันกระทันหันเกินกว่าจะรับมือ” นอวาบอกว่าเธอกำลังรอฟังผลการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐไทยและคณะกรรมการผู้ลี้ภัย

“ฉันเชื่อว่าหมอและพยาบาลชาวกะเหรี่ยงหลายคนพร้อมจะดูแลพี่น้องของเราแม้จะไม่ได้เงินเดือน แต่มีคนบอกว่า ถ้าพวกเขาทำงาน พวกเขาจะผิดกฎ ต้องถูกไล่ออกแน่ ๆ มันมีแต่ความสับสนไม่รู้จะเชื่อใครได้” คำถามดังกล่าวได้รับการนำไปถามกับเจ้าหน้าที่ IRC ท่านหนึ่ง หากก็ได้รับคำตอบว่า องค์กรยังตกอยู่ในความสับสนเช่นกันและพยายามหาคำตอบและทางออกให้โดยเร็วที่สุด

ความตึงเครียดเกิดขึ้นในหมู่ผู้ลี้ภัยกะเรนนีใน จ.แม่ฮ่องสอนเช่นเดียวกัน แม้จะอยู่ในระดับต่ำกว่า เนื่องจากยังไม่มีการติดป้ายประกาศปิดโรงพยาบาล  เพราะหลังจากรับทราบสถานการณ์ความตื่นตระหนกในชุมชนจากคณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงแล้ว คณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเรนนีก็พยายามบริหารจัดการสถานการณ์อย่างนิ่มนวลที่สุด

“การประกาศกระทันหันอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต ความโกรธ ความเครียด ความกลัว ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ ๆ” มีแหมะ นักการศึกษาชาวกะเรนนี หนึ่งในผู้นำภาคประชาสังคมกะเรนนีให้ความคิดเห็น  “พวกเราที่รู้ข่าวมีความกังวลว่าจะอยู่รอดกันต่อไปอย่างไร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ภาคประชาสังคมได้เริ่มคุยกันแล้วว่า เราจะทำอย่างไรกันได้บ้าง หากทุนช่วยเหลือจากสหรัฐฯทั้งหมดต้องหยุดไป 90 วันหรือนานกว่านั้น”

งบประมาณความช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯต่อผู้พลัดถิ่นฐานชาวกะเรนนี นอกจากจะครอบคลุมด้านสาธารณสุข อาหาร และที่พักในค่ายผู้ลี้ภัยแล้ว ยังรวมถึงอาหารและการศึกษาสำหรับเด็กผู้พลัดถิ่นที่ยังหลบหนีสงครามอยู่ในรัฐกะเรนนี ประเทศพม่าอีกด้วย

มีแหมะมองว่า ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดเช่นนี้ บทบาทของภาคประชาสังคมก็สำคัญที่สุดด้วย “มันคือพวกเราที่จะลุกขึ้นมา ช่วยกันจัดการบรรเทาความเสียหายจากเหตุฉุกเฉินแบบนี้ เราจึงได้หารือกันอยู่ว่า เราจะช่วยเหลือชุมชนของเราอย่างไร เราจะปรับตัวแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร  เพราะจริง ๆ แล้ว เราก็รู้กันอยู่ว่า แหล่งทุนจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ที่จะสร้างศักยภาพของเราเพื่อที่จะยืนบนลำแข้งของเราเองอยู่แล้วใช่หรือไม่”

คำพูดของเธอไม่ต่างจากซอ บวยเซ เลขาธิการของคณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงที่เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครต้องการพึ่งพาความช่วยเหลือไปตลอดชีวิต ผู้ลี้ภัยจะต้องพร้อมจะยืน ทำมาหาเลี้ยงชีพ จัดการดูแลชีวิตของเรา และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกภายนอก เราเพียงต้องการประตูที่เปิด และการสนับสนุนจากทุก ๆฝ่ายเพื่อให้สิ่งนี้เป็นจริง” 

“ถึงเวลาที่บทบาทขององค์กรชุมชน (community-based organization) และองค์กรภาคประชาสังคม (civil society organization) จะกลับมาได้รับการยอมรับจากแหล่งทุนและองค์กรเอกชนนานาชาติอีกครั้ง เราต้องการการสนับสนุนและยอมรับในบทบาทของเรา ให้เราได้มีพื้นที่ในการตัดสินใจ และมีอำนาจในการบริหารจัดการ”

การประชุมเพื่อบริหารจัดการความช่วยเหลือในค่ายผู้ลี้ภัยในอดีต จะประกอบไปด้วยหน่วยงานรัฐไทย องค์กรชุมชนผู้ลี้ภัย และองค์กรเอกชน หากในปัจจุบัน บทบาทขององค์กรชุมชนถูกลดไปมาก เหลือแต่เพียงรัฐและองค์กรเอกชนเท่านั้น  คณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงเองยังไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในหลายกรณี

“ปัญหา คือความกระทันหัน รัฐบาลทรัมป์และองค์กรมนุษยธรรมต่างประเทศควรแจ้งเราล่วงหน้า ให้เวลาพวกเราเตรียมตัวก่อนที่จะระงับความช่วยเหลือ” มีแหมะ กล่าว

“แต่ความกระทันหันเกิดขึ้นเสมอ เราคงต้องเรียกว่าบทเรียน ไม่ว่าจะโควิด รัฐประหาร หรือทรัมป์ เราต้องรับมือให้ได้ทั้งหมด”

————–

On Key

Related Posts

มาเฟียจีนกระเจิงหนีจากเมียวดี ระดับหัวหน้าหนีซุก กทม. บางส่วนหลบไปพะอัน-มัณฑะเลย์ ทางการแดนมังกรส่งรายชื่อไล่ล่า 5 ระดับบิ๊ก BGF ส่ง 200 คนให้แล้ว-รัฐบาลทหารพม่าขอเอี่ยวส่งชาวต่างชาติชเวโก๊กโก่ให้ไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากชเวโก๊กRead More →

ทางการไทยไม่พร้อมรับชาวต่างชาตินับหมื่นในชเวโก๊กโก่ “ชิตตู”หวั่นภาระใหญ่หลังเปิดปฎิบัติการสำรวจคัดแยกตั้งแต่เช้า-เผยมีหญิงไทย 700 คนอยู่ในสถานบริการ “ศ.ปิ่นแก้ว”ระบุมาเฟียจีนระดับบอสหนีไปอยู่เมืองพะอันหมดแล้ว จี้รัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครRead More →

เวทีสุดท้ายรับฟังเขื่อนสานะคาม ชาวบ้านเรียกร้อง สปป.ลาว รับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน ด้านภาค ปชช. จัดเวทีคู่ขนานยุติเขื่อนแม่น้ำโขง-พัฒนาพลังงานทางเลือกแทน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรมRead More →