เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 สำนักข่าว The Reporters และสำนักข่าวชายขอบ ได้จัดเวทีเสวนาหัวข้อ “วิกฤตและโอกาสในพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบในไทย” มีวิทยากรประกอบด้วย ดร.มาลี สิทธิเกรียงไกร คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม นส.เพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) และนางตามหล่าซอ (Tamla Saw) เลขาธิการกลุ่มสตรีกะเหรี่ยง (Karen Women’s Organization-KWO)
ดร.มาลี กล่าวว่าตลอดชายแดนไทยพม่า 2,401 กม. มีค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่ง สถานการณ์ที่เป็นปัญหาตอนนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจากไทยไม่ลงนามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย 1951 ไม่เรียกว่าค่ายผู้ลี้ภัย แต่เป็นผู้หนีภัย จึงไม่มีการรับรองสถานภาพและให้สิทธิแก่ผู้ลี้ภัย เป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเป็นหลัก ชีวิตของผู้ลี้ภัยจึงอยู่ในค่ายไม่สามารถออกไปได้ คนภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ และอนุญาตเฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น การช่วยเหลือด้านสาธารณสุขที่กำลังถูกตัดงบประมาณก็เกิดปัญหา ค่ายแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก อยู่มาแล้ว 40 ปีก็ยังเรียกว่าศูนย์ชั่วคราว กระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่ดูแล แต่เมื่อคนเหล่านี้ออกมานอนกค่ายจะกลายเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย จำนวนผู้ลี้ภัยไม่ได้มีมากขึ้น แนวโน้มลดลง อาหารปันส่วนที่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศกลับน้อยลง ไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้ ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพและไม่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ แต่ละเดือนจะได้รับบัตรเป็นเงินสูงสุดเพียง 353 บาทเท่านั้น เอาบัตรนี้ไปซื้ออาหารจากร้านค้าในค่ายที่มีอยู่จำกัด
นายกัณวีร์ กล่าวว่าสถานการณ์มนุษยธรรมในค่ายฯ ยืดเยื้อ อาจจะยาวนานที่สุดในโลก ประเทศผู้บริจาคก็รู้สึกว่าไม่ควรยืดเยื้อขนาดนี้ การระงับโดยสหรัฐครั้งนี้กระทบกับการตัดงบขององค์กร International Rescue Committee-IRC ที่ให้บริการสุขภาพ กลายเป็นโครงการมนุษยธรรมซ้อนนมนุษยธรรม ตอนนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดตากก็บอกว่าฉุกเฉินสามารถออกมาโรงพยาบาลได้ซึ่งดี แต่ระยะยาวจะทำอย่างไร 40 ปีนี้พื้นที่ต่างๆ อยู่ในไทย แต่งบมาจากภายนอกหมด หากเราปล่อยแบบนี้งบตัดไปเรื่อยๆ ค่ายแตกแน่ คนหิว คนป่วย ไทยเรายังทำงานเชิงตอบสนอง responsive แต่ไม่ทำเชิงรุกปัญหาจะยืดเยื้อไปเรื่อยๆ
นายกัณวีร์กล่าวว่า ข้อเสนอในการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัย 1. การเดินทางกลับมาตุภูมิโดยสมัครใจ ซึ่งตัดไปได้เลย ตั้งแต่รัฐประหารมีผู้พลัดถิ่นแล้ว 3 ล้านคน 2. การตั้งถิ่นฐานไปประเทศที่3 มีเพียง 1 เปอร์เซน์ จำกัดมากจาก 100 ล้านคน ก่อนนี้สหรัฐมีโครงการรับ 20,000 คน แต่ก็ชะลอ 3. การผสมผสานกลมกลืนกับประเทศที่ลี้ภัย ในกรณีประเทศไทยเป็นทางที่จะเป็นไปได้ จึงเสนอว่าหากอยากปิดค่าย ก็ต้องเปิดค่าย ดูว่ามีกฎหมายใดรองรับ ตอนนี้ไทยมีความต้องการแรงงานที่ขาดแคลนกว่าแสนอัตรา เป็นงานที่คนไทยไม่ทำ ไม่ใช่มาแย่งงานคนไทย เช่น ประมง ร้านอาหาร แต่มีกว่า 8 หมื่นคนในค่าย 85% หรือกว่า 5 หมื่นคนเป็นวัยแรงงาน ซึ่งสามารถให้มาทำงานตามกฎหมาย
“เมื่อพวกเขามีรายได้ก็เสียภาษีตามเกณฑ์ ให้เข้าถึงสวัสดิการตามเกณฑ์ ลูกก็ได้รับการศึกษา เราต้องตัดสินใจ รัฐบาลต้องตัดสินใจทางนโยบาย คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้พวกเขา”นายกัณวีร์ กล่าว
ขณะที่นางตามหล่าซอ เลขาธิการกลุ่มสตรีกะเหรี่ยงกล่าวว่า 6 ค่ายผู้ลี้ภัยใน จ.ตาก และ จ.แม่ฮ่องสอน ขณะนี้โรงพยาบาลปิดทั้งหมด ผู้ลี้ภัยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล แม้จะเป็นเหตุฉุกเฉินก็ตาม ในวันที่ปิดโรงพยาบาลคนไข้ถูกแจ้งให้กลับบ้าน เราไม่รู้เลยจะคลี่คลายเมื่อไหร่ แต่คณะกรรมการค่ายฯ และหน่วยงานไทยก็หารือเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน มีการประชุมฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ปกครอง ปลัดอำเภอ และโรงพยายาลอำเภอ ก็มาที่ค่ายและดำเนินการหาทางช่วยเหลือ
“ความกังวลคือ หากไม่มีบริการสาธารณสุขเลย คนไข้และสถานการณ์สุขภาพจะเป็นอย่างไร ในระดับค่ายฯ เราก็พยายามจัดการปัญหา มีอาสาสมัคร แต่ขาดยาและเวชภัณฑ์ สำหรับการแก้ปัญหาขององค์กรสตรี KWO ขณะนี้ได้ปรับงบประมาณเพื่อดูแลปัญหานี้ทันที บางค่ายฯ ก็ได้ตั้งระบบทำงานบริการผู้ป่วย หาอาคารหรือกระท่อมที่เปิดเป็นคลินิกได้ แม้จะไม่เยอะก็พยายาม หลังจากปิดโรงพยาบาล มีผู้หญิงคลอดลูก เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ช่วยแต่ไม่มียาและเวชภัณฑ์เลย แม้จะขอใช้แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาไปทีละกรณี”นางตามหล่าซอ กล่าว
เลขาธิการกลุ่มสตรีกะเหรี่ยง กล่าวว่า หากคนในศูนย์พักพิงฯได้รับอนุญาตให้ทำงานและเข้าสู่ตลาดแรงงานไทย เป็นโอกาสที่ดีมากและการออกไปทำงานอย่างถูกกฎหมายคือความหวังมาตลอด ที่มีการเข้าใจผิดว่าจะมาขโมยงานของคนไทนนั้นไม่ใช่เลย ผู้ลี้ภัยทำงานที่คนไทยไม่ทำ เป็นโอกาสที่ดีมากหากทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ด้านน.ส.เพียรพร กล่าวว่าควรเปิดให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกมาทำงานมีรายได้ ให้ได้รับการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่นรอเงินบริจาคไปตลอดชีวิต ที่สำคัญค่ายผู้ลี้ภัยไม่ควรเป็นพื้นที่ปิดตายอีกต่อไป ควรเปิดให้หลายฝ่ายเข้าไปร่วมแก้ปัญหา เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างยั่งยืน
ผู้สื่อข่าวรายในวันเดียวกันนี้ คณะกรรมการค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ ได้รวบรวมบุคลากรทางการแพทย์ชาวกะเหรี่ยงทั้งเก่าและใหม่ คือคนที่เพิ่งออกจากงานโรงพยาบาลของ IRC มาเป็นอาสาสมัครในศูนย์พยาบาลฉุกเฉินได้แล้ว แผนการคือจัดตั้งศูนย์พยาบาลในอาคารโรงเรียนมัธยมเก่าใกล้สนามฟุตบอล โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการให้ได้เร็วที่สุด โดยมีโรงพยาบาลท่าสองยางให้การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ
กรรมการค่ายรายหนึ่งกล่าวว่า แม้โรงพยาบาลท่าสองยางและโรงพยาบาลอุ้มผาง จะประกาศว่ายินดีที่จะช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยจากค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเต็มกำลัง แต่ตนรู้ว่าโรงพยาบาลไทยมีคนไข้เยอะมากอยู่แล้วต่อให้ไม่มีผู้ลี้ภัย ก็ไม่อยากให้มีคำพูดที่ว่าชุมชนกะเหรี่ยงไทยหรือคนไทยไม่ได้รับบริการที่ดี หรือต้องรอนาน อึดอัดคับแคบ เพราะมีผู้ลี้ภัยไปแย่งใช้บริการโรงพยาบาล ผู้ลี้ภัยไม่สบายใจแน่นอนกับเรื่องแบบนั้น
“เราจะพยายามทำอะไรที่เรามีศักยภาพจะทำเองได้ เราต้องลุกขึ้นยืนให้ได้ด้วยตัวของเรา และเราจะยืนได้มั่นคง ถ้าเพื่อนของเราอย่าง เช่นโรงพยาบาล ปลัด นายอำเภอ ให้การสนับสนุนการยืนของเรา ผมได้ยินว่า บางทีสถานการณ์เรื่องคำสั่งของทรัมป์จะคลี่คลายลง แต่พวกเราก็ไม่ได้รอฟังข่าวนั้นเท่าไหร่แล้ว” กรรมการค่ายฯ กล่าว
ด้านนพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการวางแผนและประเมินผลระดับจังหวัดกับทีมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากและตัวแทนผู้บริหารจากทุกโรงพยาบาลและทุกสำนกงานสาธารณสุขอำเภอ จ.ตากว่า ได้หารือถึงขอบเขตงานด้านสาธารณสุขที่ต้องเข้าไปดูแลในศูนย์พักพิงชั่วคราว 3 แห่งในพื้นที่ จ.ตาก ซึ่งมีด้วยกัน 12 เรื่องซึ่งแนวทางการจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในศูนย์พักพิง ประกอบด้วย 1.เรื่องการป้องกันและควบคุมโรคและการดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการขยะ การควบคุมแมลงก่อโรค การเติมคลอรีนในน้ำประปา 2.งานคนไข้ผู้ป่วยนอกทั่วไป 3.งานคลินิค NCD ที่เกี่ยวข้องกับเบาหวาน ความดัน 4.คลินิคคนไข้เอชไอวีกับวัณโรค
5.คลินิคคนไข้จิตเวช 6.คลินิคการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กเพราะในศูนย์พักพิงมีเด็กเยอะมาก 7.คลินิคฝากท้องและการวางแผนครอบครัว 8.การแพทย์ฉุกเฉิน 9.งานบริการด้านการคลอดบุตร 10.งานบริการล้างไต 11.งานรักษาผู้ป่วยทั่วไป เช่น ไส้ติ่งอักเสบ 12.การดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง ติดเตียง และ 13.คือเรื่องอื่นๆหากมีทรัพยากรเพียงพอ เช่น ทันตกรรม
นพ.วรวิทย์กล่าวว่า ในที่ประชุมยังได้พูดถึงเรื่องที่ต้องขอการสนับสนุนจากทางจังหวัด 3 ข้อคือ 1.การขอให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้า-ออกศูนย์พักพิงได้โดยง่าย เพราะจะมีการจัดคนเข้าไปอยู่เวร 2.การขออนุญาตให้คนเข้า-ออกศูนย์พักพิงเพื่อมารักษาที่โรงพยาบาลเพราะในอดีตมีระเบียบและขั้นตอนเยอะ 3.ขอ อส.ของอำเภอช่วยขับรถให้ เพราะหารถพยาบาลได้ไม่ยาก
ผู้อำนวยการ รพ.อุ้มผางกล่าวว่า ได้มีการหารือเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลซึ่งโรงพยาบาลต่างๆได้ขอให้รวบรวมข้อมูลเอาไว้และบันทึกเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย นอกจากนี้ยังหารือเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่แต่ละศูนย์อาจมีไม่เหมือนกัน เช่น สัญญาณอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง อาคารสถานที่
“ผมคิดว่าเรื่องการดูแลสาธารณสุขในศูนย์พักพิงไม่น่าจะมีรอยต่ออะไรมากเพราะทุกแห่งมีควาพร้อมอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว ผมชื่นชมผู้ว่าราชการจังหวัดตากมาก เพราะวิกฤตครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งเป็นวิกฤตมนุษยธรรม เมื่อท่านเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา ผู้ตามก็จะทำตามกันไปในทิศทางที่ถูกต้อง”นพ.วรวิทย์ กล่าว และว่า “จริงๆแล้วชาวบ้านในศูนย์พักพิงเขาก็อยากกลับบ้านในฝั่งพม่า เพียงแต่เขาอยู่ไม่ได้ ไม่มีใครอยากเข้ามาอยู่ในพื้นที่จำกัดแบบนี้ ชีวิตเขาน่าสังสาร”