ภาสกร จำลองราช
มาตการ 3 ตัดคือตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และตัดการส่งน้ำมัน ที่รัฐบาลไทยกำลังใช้ปิดล้อมและตัดแขนขาแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยของกลุ่มมาเฟียจีนและกะเหรี่ยงเทานั้น ยังไม่เพียงพอ
ยังเหลือมาตรการ “ตัด” ที่สำคัญอีกประการที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้ขยับ คือ “ตัดส่วย”
ระบบส่วย ที่เชื่อมโยงข้ามแม่น้ำเมยจากเมียวดี มาแม่สอด และโยงใยไปถึงเมืองตากและกรุงเทพฯนั้น แน่นหนามาก
ชาวต่างชาตินับหมื่นทั้งเหยื่อและมาเฟียที่อยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยฝั่งเมียวดี ส่วนใหญ่ข้ามไปจากฝั่งประเทศไทย ทั้งๆที่ด่านชายแดนไทย-พม่าในแม่สอดปิดตายสำหรับคนชาติอื่น เพราะอนุญาตให้ผ่านแดนแค่คนไทยและพม่า
ถามว่าคนต่างชาตินับหมื่นๆ คน สามารถข้ามจากแดนไทยไปสู่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยได้อย่างไร ถ้าระบบความมั่นคงชายแดนไม่ตั้งใจเปิดช่องโหว่ไว้ การโยกย้าย 3 ผู้กำกับสถานีตำรวจในอำเภอชายแดนของ จ.ตาก เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆที่น่าสนใจ เพียงแต่ยังมีข้าราชการในระดับหัวหน้าอีกหลายหน่วยงานในเมืองชายแดนแห่งนี้ที่รัฐบาลต้อง “จัดการ”
ขณะที่องค์กรอิสระด้านการตรวจสอบทุจริตทั้งหลาย อาทิ ปปช. ปปง. ปปท. จากส่วนกลางควรลงพื้นที่อำเภอชายแดนจังหวัดตาก
ข้อเสนอของคุณรังสิมันต์ โรม ที่ให้ออกหมายจับ “ชิตตู” ผู้นำกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force-Karen) จึงน่าสนใจยิ่ง เพราะในหลายประเทศตะวันตกมีชื่อของผู้นำกะเหรี่ยงรายนี้ต่างอยู่ในบัญชีดำ แต่ประเทศไทยซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงและเป็นแหล่งเคลื่อนไหวของชิตตู กลับไม่เคยคิดที่จะเอาผิดชิตตูเลย
นอกจากชิตตูแล้ว ยังมีผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงอีกหลายคนที่หากินอยู่กับมาเฟียจีนและเคลื่อนไหวอยู่ริมแม่น้ำเมยเมืองเมียวดี เช่น “โกไซ” หรือนายไซจ่อละ ผู้บัญชาการกองพลน้อย ที่ 1. (พล.น.1) DKBA(Democratic Karen Buddhist Army) ผู้กว้างขวางในอาณาจักรช่องแคบซึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหดในการทรมานเหยื่อ
ผู้นำกองกำลังทั้งสองคน ต่างมีความใกล้ชิดสนิทสนามอย่างยิ่งกับหัวหน้าหน่วยงาน “บางคน” ในระบบราชการไทย เพราะฉะนั้นระบบส่วยของไทยจึงอยู่ในมือของทั้ง 2 คนนี้
ในสภาพบริบทของเมืองเมียวดีนั้น ผู้ที่จะจัดการกับผู้นำกะเหรี่ยงเทาดำ 2 คนนี้ได้นั้น มีเพียงรัฐบาลไทยและกองกำลังของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU (Karen National Union)เท่านั้น เพราะพื้นที่แหล่งอาชญากรรมที่ PDF และ DKBA ครอบครองอยู่ ด้านหนึ่งถูกโอบล้อมด้วยสนามสู้รบฝั่งพม่าที่ KNU และกองกำลังฝ่ายต่อต้านยึดได้ อีกด้านหนึ่งคือแผ่นดินไทย ที่ผู้นำกะเหรี่ยงเทาทั้ง 2 คนใช้เป็นระเบียงเคลื่อนไหวและหากิน
การที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาให้สัมภาษณ์ในท่วงทำนองที่จะรอให้รัฐบาลทหารพม่าเข้ามาจัดการกับกะเหรี่ยงเทาและแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยนั้น เป็นความตั้งใจที่ยังขาดความเข้าใจในบริบทของพื้นที่
สถานการณ์ในประเทศพม่า จะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมในระยะเวลาอันใกล้นี้อีกแล้ว และรัฐบาลกลางของพม่ายากที่จะเข้ามามีอำนาจในเมืองเมียวดีและริมแม่น้ำเมย
ถ้าหากประเทศไทยต้องการขจัดแหล่งอาชญากรรมและเหล่ามาเฟียตามชายแดนก็จะต้อง “ทำอะไร”มากกว่านี้ ที่สำคัญคือสังคมไทยควรมีโอกาสเลือก “คนข้างบ้าน”ได้
อย่างให้ผิดพลาดเหมือนเมื่อกว่า 20 ปีที่ยอมให้กองกำลังว้า (United Wa State Army -UWSA) มาปักธงชายแดนภาคเหนือแทนกองทัพไทใหญ่ ตั้งแต่ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ และ จ.แม่ฮ่องสอน กระทั่งทหารว้าขยายฐานใหญ่โต จนรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยแม้กระทั่งเขตอุทยานแห่งชาติของไทย เราก็ยังจัดการอะไรไม่ได้ ขณะที่สังคมไทยเต็มไปด้วยยาเสพติดที่ผลิตจากเขตยึดครองของว้า
เราจะปล่อยให้กะเหรี่ยงเทาสมคบกับอาชญากรจีนยึดครองชายแดนตะวันตก และส่งต่อความชั่วร้ายใส่สังคมให้กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมเช่นนั้นหรือ