“ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายเรื่องการบริหารจัดการการย้ายถิ่นฐาน ผู้โยกย้ายถิ่นฐานยังคงเผชิญปัญหาเรื่องการเข้าถึงเอกสารประจำตัว การเข้าถึงการศึกษา การรับบริการทางการแพทย์และการถูกจับกุม”เคที่ ฮาร์ดแมน ที่ปรึกษาด้านการเมือง สถานเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย กล่าวในการเปิดงานสัมมนา “การบริหารจัดการการย้ายถิ่น: แรงงานข้ามชาติ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ และผู้ลี้ภัย” ที่ โรงแรม เบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา
เคที่มองว่าแม้ประเทศไทยจะมีกลไกคัดกรองระดับชาติ (National Screening Mechanism) ที่ทำหน้าที่คัดกรองบุคคลโยกย้ายถิ่นฐานที่เข้ามาในราชอาณาจักร และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ โดยประเทศไทยมีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2023 แต่ก็ปรากฏว่ากลไกดังกล่าวยังคงมีช่องว่างที่ต้องได้รับการพัฒนา เพื่อทำให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐานสามารถมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่
ขณะที่ ผศ.ดร.ภานุภัทร จิตเที่ยง ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ( ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights: AICHR) ได้ปาฐกถาในหัวข้อ “มนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และความมั่นคง” ว่าคำว่ามนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนแม้จะมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความตึงเครียดระหว่างกัน เนื่องจากคำทั้งสองเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ทับซ้อนที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น
อย่างไรก็ดีประเทศไทยไม่สามารถก้าวข้ามความมั่นคงในรูปแบบเดิมได้ ดังนั้นความมั่นคงจึงกลายเป็นแนวคิดที่แปลกแยกออกจากคำว่า มนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน เพราะในวันนี้ประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญแก่รัฐเหนือกว่าความเป็นมนุษย์ ก่อให้เกิดความท้าทายในเชิงความคิดและการปฏิบัติที่จะนำคำทั้งสามคำนี้มาบรรจบกัน
“การอภิบาลและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นหัวใจสำคัญของคำทั้งสาม” ผศ.ดร.ภานุภัทร เลือกใช้คำว่า ‘การอภิบาล’ แทนคำว่า ‘การบริหารจัดการ’ เพราะมองว่าเป็นคำที่สะท้อนกระบวนการในการสร้าง และนำกฎเกณฑ์ กติกาและนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ในขณะที่การบริหารจัดการเป็นเพียงการนำไปปฏิบัติเพียงอย่างเดียว
ผศ.ดร.ภานุภัทรได้เสนอ 5 แนวทางสำหรับการนำหลักสิทธิมนุษยชนมาปรับใช้กับการอภิบาลการโยกย้ายถิ่นฐานดังนี้ 1. การเคารพผู้โยกย้ายถิ่นฐาน และส่งเสริมให้คนเหล่านี้อย่างน้อยที่สุดเข้าถึงการพักพิงเป็นการชั่วคราว และให้พวกเขาเข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง
2. ยุติการกักขังกลุ่มคนย้ายถิ่นฐาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ลี้ภัยและสร้างทางเลือกสำหรับการควบคุม เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เข้าไปอยู่ในชุมชน
3. ไม่ส่งกลับผู้หนีภัยการประหัตประหารไปสู่อันตราย เพราะการส่งกลับไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความไม่มั่นคงแก่กลุ่มคนเหล่านี้ แต่ยังทำให้รัฐเผชิญความไม่มั่นคงด้วยตนเอง ผ่านความกดดันจากต่างประเทศ การสูญเสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ
4. สร้างทางเลือกการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย โดยไม่ติดหล่มว่าผู้โยกย้ายถิ่นฐานเป็นคนผิดกฎหมาย เพราะคำถามสำคัญคือทำไมเราไม่ทำให้เขาถูกกฎหมาย
5. การจ้างงานและการเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ ในสังคมของเราที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติได้อยู่และทำงานอย่างถูกกฎหมาย จะเป็นการสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นกับสังคมในระยะยาว
ขณะที่อดิศร เกิดมงคล จากเครือข่าย จากเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน เริ่มต้นการนำเสนอเรื่องของการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติโดยมองว่าจากปรากฏการณ์การโยกย้ายถิ่นฐานแบบผสมผสาน (mixed migration) ทำให้กลุ่มแรงงานข้ามชาติไม่สามารถแยกขาดออกจากกลุ่มผู้ลี้ภัยได้ ในปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน 4 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนามที่ลงทะเบียน 2,384,173 คน โดยแรงงานเมียนมามีปริมาณมากที่สุดอยู่ที่ 2,270,382 คน ในจำนวนทั้งหมดประเทศไทยใช้วิธีการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติด้วยตนเอง 78% ส่วนที่เหลือเป็นการจ้างงานผ่าน MOU กับประเทศต้นทาง
“โจทย์ใหญ่ ณ ขณะนี้คือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คน 78% ที่เราต้องจัดการ กำลังจะสิ้นสุดสถานะการทำงาน จะทำอย่างไรให้คน 2 ล้านกว่าคนที่ทำงานอยู่สามารถทำงานต่อได้”
อดิศรแสดงข้อมูลว่านับตั้งแต่ช่วงหลังโควิด มีการเปิดให้ลงทะเบียนแรงงาน โดยเริ่มจากการเปิดจดทะเบียนเดือนมกราคม 2566 มีตัวเลขแรงงานข้ามชาติอยู่ที่ 2,466,562 คน จากนั้นเปิดให้ต่ออายุใบอนุญาตทำงานเดือนมีนาคม 2566 ตัวเลขแรงงานลดลงเหลือ 1,912,031 คน เรื่อยมาจนถึงเดือนมีนาคม 2567 ที่ตัวเลขลดลงเหลือ 1,614,722 คน และในปัจจุบันมีตัวเลขแรงงานที่ลงทะเบียนอยู่ในระบบ 1,500,000 กว่าคน (ไม่นับรวมแรงงานข้ามชาติประเภท MOU)
“หากเปรียบเทียบช่วงก่อนและหลังโควิด มีจำนวนแรงงานข้ามชาติหายไปจากระบบการจ้างงานแบบถูกกฎหมายถึง 851,804 คน”
อดิศรมองว่าระบบการจ้างงานแรงงานข้ามชาติของไทยยังไม่สามารถรักษาคนไว้ได้ จึงทำให้ตัวนายจ้างมีความเสี่ยงที่จะต้องใช้แรงงานผิดกฎหมายอยู่ตลอด ดังนั้นโจทย์ท้าทายในระยะสั้นตอนนี้คือ ประเทศไทยจะจัดการแรงงานข้ามชาติจำนวน 2 ล้านคนนี้อย่างไร โดยเฉพาะกับกลุ่มแรงงานเมียนมาที่เกิดความไม่ไว้ใจรัฐบาลทหารของตนเอง
ส่วนภัคชนก พัฒนถาบุตร จากองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) กล่าวได้เสริมประเด็นแรงงานข้ามชาติต่อจากอดิศรว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งคือการรับนโยบาย และกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชนมาค่อนข้างเยอะ แต่จุดอ่อนอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายของผู้ปฏิบัติงาน จนเกิดเป็นระบบที่ไม่มีธรรมาภิบาล และกลุ่มคนที่ถูกรังแกมากที่สุดก็คือ กลุ่มคนที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย
“ประเทศของเรามีหลักการและนโยบายที่ดีอยู่แล้ว แต่วัฒนธรรมของเราคือการไม่ต่อต้านสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะความกลัว เราจึงใช้ความเงียบเพื่อเอาตัวรอด” ภัคชนกกล่าว
ผศ.ดร.ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ประเทศไทยมีกฎหมายที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร ในการกำหนดนโยบายการให้สัญชาติที่สอดคล้องกับบริบท ณ เวลานั้น ซึ่งเมื่อย้อนดูข้อมูลจากในอดีตพบว่า ผู้อยู่อาศัยต้องอยู่อาศัยในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 40 ปี ถึงจะมีสิทธิได้รับสัญชาติ ส่วนบุตรที่เกิดขึ้นมาในประเทศไทย ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะได้รับสัญชาติในทันที
สำหรับในเรื่องของการศึกษาลัดดาวัลย์ หลักแก้ว จากมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท (FRY) กล่าวว่า ประเทศไทยมีกฎหมายและนโยบายที่เปิดโอกาสให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย สามารถได้รับการศึกษาได้ 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามพรบ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 การศึกษาเพื่อปวงชนโดยการประกาศมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ประกอบกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการรับนักเรียนเข้าเรียนปีการศึกษา 2548 กฎหมายทั้งสองฉบับนี้เป็นการประกันและรับรองว่าทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีเอกสารประจำตัวก็สามารถที่จะได้รับการศึกษา
“แม้นโยบายและกฎหมายเรื่องการศึกษาของประเทศไทยจะมีความก้าวหน้า แต่มีจุดอ่อนในเรื่องของการไม่มีสภาพการณ์บังคับใช้ และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ก็ถูกเพิกเฉย”
สถานการณ์ในปัจจุบันลัดดาวัลย์พบว่า มีการเลือกปฏิบัติในการรับนักเรียนที่เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติเข้าเรียนอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีเอกสารประจำ สิ่งนี้เกิดจากความไม่เข้าใจของผู้ปฏิบัติงาน ที่จะบริหารจัดการเรื่องการออกรหัส G ให้กับเด็กที่มีความซับซ้อน และมักจะแก้ไขปัญหาด้วยการไม่รับเด็กที่ไม่มีเอกสารประจำตัวเข้าเรียน
จากข้อมูลลัดดาวัลย์พบว่า ณ ปัจจุบัน มีลูกหลานแรงงานข้ามชาติ เด็กและเยาวชนที่ไม่มีสัญชาติ ได้รับการศึกษาในระบบการศึกษาของไทยทั้งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กรมส่งเสริมการเรียนรู้ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ที่ 140,000 คน รวมทั้งที่ศึกษาอยู่ในศูนย์การเรียนหรือ Migrant Learning Center (MLC) 24,000 คน
สุดท้าย ดร.ศรีประภา จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุปภาพรวมของการคุ้มครองกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เด็ก คนไร้รัฐ ไร้เอกสารและผู้ลี้ภัย กำลังเผชิญกับความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเปลี่ยนแปลงผู้นำของสหรัฐอเมริกา นำมาซึ่งนโยบายใหม่ทำให้เกิดความยากลำบากต่อคนทำงานและผู้อพยพย้ายถิ่นฐานในการสรรหาที่พักพิงใหม่
จากข้อมูลได้ฉายให้เห็นแล้วว่า ประเทศไทยมีนโยบายและกฎหมายที่ก้าวหน้า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงานว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ดร.ศรีประภาย้ำว่า คนทุกคนต่างต้องการการปกป้องคุ้มครองขั้นพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยที่ไม่แบ่งแยกว่าเขาเป็นแรงงานข้ามชาติ คนไร้สถานะ หรือผู้ลี้ภัย






