
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 นายษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี 1 ในคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด ประกันสังคม) ทีมประกันสังคมก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาในกองทุนประกันสังคม ว่าประเด็นหนึ่งคือเรื่องงบประมาณในบริหารสำนักงาน หรือที่เรียกกันว่างบ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในกฏหมายเปิดโอกาสให้สามารถใช้ได้สูงสุด 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินสมทบ ปีละ 2 แสนล้านบาท หรือตกราว 2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมีการใช้งบนี้ราว 5 พันล้านบาทต่อปี
“เป็นเงินนอกงบประมาณหมายความว่าไม่เหมือนหน่วยงานรัฐอื่น จะไม่ผ่านกรรมาธิการงบประมาณ ไม่มีการอภิปรายในสภา เป็นปัญหาที่ไม่ถูกฉายไฟส่อง ผมในฐานะบอร์ดสิ่งที่พบคือมีความคิดที่ว่าเราเป็นสำนักงาน เรามีเงินเยอะ สามารถที่จะใช้ภายใต้เงื่อนไขต่างๆที่ไม่ได้ระมัดระวังเท่าที่ควร โดยเฉพาะงบประมาณด้านไอทีที่มีการเปิดเผยในช่วงที่ผ่านมาว่า ตัวงบประมาณสูงแต่ผลการทำงานแย่ อย่างที่เขาจับตามอง เช่น แอพลิเคชั่น 270 ล้านบาท มูลค่าสูงแต่เซอร์วิสแย่ หรือเปลี่ยนระบบเมนเฟรมเป็นระบบเว็บแอป 800 ล้านบาท ยังไม่เสร็จและยังไม่มีการชำระค่าปรับ ” กรรมการประกันสังคมฝ่ายลูกจ้าง กล่าว
นายษัษฐรัมย์ กล่าวอีกว่า การใช้งบประมาณไปดูงานต่างประเทศกับการจัดทำปฏิทินที่สังคมให้ความสนใจอาจเป็นการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ได้เป็นมูลค่าที่เยอะมากเมื่อเทียบกับงบประมาณด้านไอที
“พอมีข่าวออกไปฝั่งตรงข้ามเราพยายามจุดประเด็นว่าทีมประกันสังคมก้าวหน้าหรือพรรคประชาชนพยายามตัดงบประมาณสวัสดิการพนักงานชั้นผู้น้อย ซึ่งผมต้องยืนยันว่าไม่จริง เราต้องการตัดงบประมาณที่ไม่เหมาะสมในโครงการเมกะโปรเจคต์ เมื่องบประมาณถูกใช้ไปอย่างไม่เหมาะสมสิ่งที่เกิดขึ้นคือทำให้คนทำงานหน้างานลำบาก เช่น แอพลิเคชั่นที่ใช้งานไม่ได้จริงถึงเวลาคนก็ต้องเดินทางมาสำนักงาน มาทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแอพลิเคชั่นมันถึงใช้ไม่ได้ เรามองว่าคนทำงานเป็นกลไกที่สำคัญมากกว่าผู้บริหารที่นั่งทำงานในสำนักงานใหญ่ สำคัญกว่า ผอ.ทุกกอง คนเหล่านี้ต้องได้รับสวัสดิการเต็มที่ งบประมาณที่พนักงานได้รับน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณไอทีที่มีปัญหาโปร่งใส” 1 ในบอร์ดประกันสังคมกล่าว
นายษัษฐรัมย์ กล่าวว่าที่น่าเป็นห่วงคือการที่ปลัดกระทรวงแรงงานพูดว่าไม่รู้เหมือนกันมีการฮั้วหรือไม่ รู้แต่ว่าทำถูกต้องตามระเบียบ
“ปัญหาคือคนที่มารับงานอาจไม่ได้เป็นคนที่มีศักยภาพสูงสุดในการรับงาน แต่เป็นแค่คนที่สามารถ Bid ได้ ในหน่วยงานรัฐทั่วๆไปก็อาจมีการ Sub งานออกไปย่อยๆ จากงบ 100 ล้านบาท คนที่สามารถทำงานได้จริง Sub ไปอาจเป็นรายที่ 4-5 ได้งบประมาณ 30 ล้านบาท งานก็เลยออกมาห่วย ส่งมอบไม่เสร็จ พอส่งมอบไปก็ใช้งานไม่ได้ ไม่มีกระบวนการตรวจรับ นี่เป็นปัญหาใหญ่และผมคิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดู ในส่วนของผมที่เป็นบอร์ดทำเต็มที่คือการตั้งข้อสังเกตปัญหา” นายษัษฐรัมย์ กล่าว
หัวหน้าทีมประกันสังคมก้าวหน้ากล่าวว่า เห็นด้วยกับการให้บริษัทรายใหม่ๆที่เป็นมืออาชีพได้เข้ามาแข่งขันยื่นซองประมูล แต่เรื่องพื้นฐานคือการเปิดข้อมูลทั้ งหมดที่มีมาแล้วจะเห็นความผิดปกติ จะทำให้เห็นบทสนทนาแล้วจะทำให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างต่อไปในอนาคตน่าจะเป็นระบบมากขึ้น งบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆจะไม่เฟ้อเกิน ยกตัวอย่างแอพลิเคชั่นประกันสังคมราคาแพงกว่าแอพลิเคชั่นธนาคาร ทั้งๆที่ทราฟฟิคในการใช้แอปประกันสังคมไม่น่าจะเยอะเท่าแอปธนาคารหรือแอปเทรดหุ้นแน่นอน
ด้านศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่าที่ผ่านมา สปส.ไม่เคยถูกตั้งคำถามเรื่องการใช้งบประมาณ ดังนั้นเมื่อสังคมมีคำถามถึงเรื่องค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดจึงต้องฟังว่า สปส.จะตอบอย่างไร
“ตอนนี้มีบอร์ดประกันสังคมชุดใหม่ที่เพิ่งเข้าไป มีการตั้งอนุกรรมาธิการประกันสังคม ในคณะกรรมาธิการแรงงานของวุฒิสภา ซึ่งคนเหล่านี้คุ้นเคยกับเรื่องประกันสังคมมาพอสมควรเพราะมีตัวแทนฝ่ายลูกจ้างเก่าๆอยู่เยอะ ก็รู้ไส้กันดี มีการตั้งคำถาม ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นวาระที่ สปส.ต้องเคลียร์เอาเองแล้ว เพราะในอดีตที่ผ่านมาอาจไม่ค่อยได้ถูกตั้งคำถามถึงสิ่งเหล่านี้ ต้องฟังว่าเขาจะตอบอย่างไร มีคนสงสัยกันมากว่ารายจ่ายเบ็ดเตล็ดทำไมใหญ่จังเลย ปกติความหมายเบ็ดเตล็ดมันควรจะเป็นเล็กๆน้อยๆ” วุฒิสมาชิกสายแรงงานรายนี้กล่าว
เมื่อถามถึงความเสี่ยงในการล้มละลายของกองทุนประกันสังคม ศาสตราภิชาน แล กล่าวว่า ในแง่ความเสี่ยงในโครงสร้างมีอยู่แล้ว กรณีเพดานการเก็บเปอร์เซ็นต์ค่าประกันเคยตั้งมา 30 กว่าปีแล้วสันนิษฐานว่าเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท เก็บไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ของ 15,000 บาท
“แต่ 30 กว่าปีที่แล้วกับปีนี้เงินเดือนก็สูงขึ้นไปเยอะ เมื่อไปจ่ายค่าเบี้ยตกงาน เบี้ยต่างๆ แล้วคุณยังไปคำนวณโดยสันนิษฐานว่าลูกจ้างจ่ายไม่เกิน 15,000 บาท สิ่งที่ได้มามันก็คือน้ำจิ้มเอาไปใช้อะไรไม่ได้ ถ้าไม่ทำอะไรเลยเงินพวกนี้มันก็จะหมดลงทุกทีเพราะประกันชราภาพคนอายุยืนมากขึ้น คนที่เข้ามาสู่ประกันสังคมผู้เอาประกันก็อาจจะน้อยลง มันก็เลยดูว่าน่าจะมีความเสี่ยงอยู่ เพราะฉะนั้นทางออกทางหนึ่งก็คือทำให้ปากท่อที่เปิดรับน้ำเข้าใหญ่ขึ้น เช่นขยายเพดานเงินเดือนที่เราเคยสันนิษฐานว่าไม่เกิน 15,000บาทให้มันขึ้นไป 1.5 เปอร์เซ็นต์จะได้มีเงินเข้ามาเพิ่มขึ้น”ดร.แล กล่าว
วุฒิสมาชิกรายนี้กล่าวว่า อีกอย่างคือต้องพยายามจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพราะมีจำนวนมาก แรงงานนอกระบบกับแรงงานต่างด้าวจดทะเบียนน้อยเกินไป ประกันสังคมแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายมีตั้งเยอะแยะเวลาเข้าประกันสังคมทำไมเข้าน้อย ทั้งๆที่จดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว หรือนายจ้างไม่อยากจะออกเงินเลยไม่สนใจจะสมทบทุน ก็ต้องไปไล่เบี้ยตรงนี้กัน
“พูดง่ายๆคือ ต้องขยายเพดานของการสะสม ถ้าลูกจ้างขยายเพดานนายจ้างก็ต้องจ่ายเพิ่ม รัฐบาลก็ต้องจ่ายเพิ่ม ปากทางของเงินก็จะสูงขึ้น การดึงเอาแรงงานนอกระบบเข้ามาสู่ระบบให้มากโดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว เขาก็จะได้รับความคุ้มครองไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ มีสิทธิที่จะใช้สวัสดิการ ในขณะที่จะมีรายได้เข้าประกันสังคมเพิ่มมากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายก็ต้องไปกวดขันกันไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดหรือดูงานซี้ซั้วถลุงกันเพลิน ขยายปากทางเข้าของเงินแล้วไปเข้มงวดทางออกของเงินให้มากขึ้น” อาจารย์แล กล่าว
ในขณะที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร เขต 28 พรรคประชาชน กล่าวถึงการปฏิรูป สปส.ว่า มีแนวคิดเรื่องการรวม 3 กองทุน คือ กองทุนประกันสังคม (สปส.),กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และระบบสวัสดิการข้าราชการ มานานแล้ว รัฐบาลควรคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลผสม และเมื่อเป็นงบประมาณกระทรวง ทางกระทรวงก็ไม่ต้องการให้หน่วยงานอื่นเข้ามาล้วงลูก
“สปสช.อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข ส่วน สปส.อยู่ในกระทรวงแรงงาน พอคุยกันไม่ได้ การรวมมันก็ไม่เกิดขึ้น จริงๆแล้วสิทธิการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิถ้วนหน้าเพราะฉะนั้นประชาชนทุกคนควรได้รับการรักษาถ้วนหน้าเท่าเทียมกัน ดังนั้นควรเริ่มคิดได้แล้วว่าประกันสังคมควรเลิกดูด้านการแพทย์แล้วหรือไม่ ต้องใช้ภาษีเพื่อดูแลประชาชนให้ได้รับการรักษาถ้วนหน้าหรือถ้าจะยืนยันว่าจะใช้ประกันสังคมในการดูแลผู้ประกันตน ประกันสังคมมีหน้าที่อย่างเดียวคือทำอย่างไรให้กองทุนมันอยู่รอดต่อไปได้ เรื่องการแพทย์ควรดึงออกมาจากประกันสังคมได้แล้ว เพื่อให้มืออาชีพไปทำ คือ สปสช. ซึ่งต้องตัดสินใจเพราะการปฏิรูปใหญ่มีได้หลายระดับ การที่จะทำให้กองทุนประกันสังคมอยู่ต่อไปได้ มันก็จะประกอบด้วยการบริหารจัดการกองทุน และการนำเงินไปลงทุน เป็นเรื่องที่เราต้องมาคิดกันว่าจะบริหารจัดการสำนักงานให้มีประสิทธิภาพและลงทุนอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุดเหมือนกองทุนระดับโลกทำได้” น.ส.รักชนก กล่าว
เมื่อถามว่าจะผลักดันการตรวจสอบ สปส.ในการประชุมสภาต่อไปอย่างไร น.ส.รักชนก กล่าวว่า มีอนุกรรมาธิการศึกษาการรวม 3 กองทุน และมีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ (ซูเปอร์บอร์ดสุขภาพ) ที่จะศึกษาการรวม 3 กองทุน แต่ถ้าไปดูตำแหน่งตามบอร์ดจะเห็นว่าการประชุมบอร์ดแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เนื่องจากกรรมการประกอบด้วย รมว.กลาโหม รมว.คลัง รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รมว.มหาดไทย รมว.แรงงาน รมว.สาธารณสุข เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฯลฯ เป็นต้น