ณฐาภพ สังเกตุ
นักข่าวอิสระด้านการโยกย้ายถิ่นฐาน

เมื่อคืน (28 มีนาคม 2568) ผมได้รับข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เพื่อนของเขาจ้างแม่บ้านชาวเมียนมาที่มาจากเมืองตองจี อยู่ทางตอนใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ที่หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหว เธอไม่สามารถติดต่อลูกได้และไม่รู้จะพึ่งใคร
อย่างที่ทราบกันดีว่าหลังเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาปี 2564 ทำให้ระบบโครงสร้างสังคมของประเทศพม่าล่มสลาย เธอไม่มีความหวังว่ารัฐบาลทหารพม่าจะช่วยอะไรครอบครัวของเธอได้ในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติเช่นนี้
นับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา คลื่นมนุษย์จากฝั่งประเทศพม่าได้ทยอยอพยพมายังประเทศไทยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจ สงคราม หรือกล่าวอย่างสามัญที่สุด คือการหนีตายจากประเทศบ้านเกิดตัวเอง มาเอาชีวิตรอดที่ประเทศไทยด้วยสถานะแรงงานข้ามชาติ
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเคยเป็นครูสอนวิชาชีววิทยาที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเกิดเหตุรัฐประหาร เขาตัดสินใจเข้าร่วมการทำอารยะขัดขืน หรือ Civil Disobedience Movement (CDM) เพียงเพราะไม่ต้องการให้ประเทศตัวเองเดินถอยหลังลงเหว ผลลัพธ์คือเขาต้องลี้ภัยมาใช้ชีวิตสถานะแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ทั้งยังมีพี่สาวอีกคนที่เรียนจบปริญญาโท แต่ต้องมาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านอาหารในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
ในฐานะนักข่าวที่ติดตามประเด็นเรื่องผู้อพยพชาวเมียนมา ผมเห็นแรงกระเพื่อมจากความพยายามจุดกระแสความเกลียดชังที่มีต่อชาวเมียนมาเป็นระยะ ทั้งในเรื่องแรงงานข้ามชาติ จนกระทั่งศูนย์การเรียนต่างๆที่ถูกปิดลงตั้งแต่ที่ จ.อ่างทอง จ. สุราษฎร์ธานี และล่าสุดที่ จ.ภูเก็ต
มีความพยายามโหมกระแสว่า “พม่าต้องการได้ค่าแรง 700” สร้างความตื่นตระหนกให้คนไทยบางส่วน บ้างจุดประเด็นเรื่องแรงงานเมียนมาแย่งงานคนไทย บ้างว่าพวกเขาจะเข้ามายึดเมืองและมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
คนบางกลุ่มถนัดการผลิตวาทกรรมเพื่อสร้างความเกลียดชัง และกดชาวเมียนมาให้อยู่ต่ำกว่าเรา และชี้หน้าบอกพวกเขาว่า ‘พวกคุณเป็นได้แค่แรงงานต่างด้าว’ หรือพลเมืองชั้นสอง-ชั้นสุดท้ายในประเทศของเรา
คนไทยบางกลุ่มอ้างความชอบธรรมทางกฎหมายให้ตนเอง ด้วยการกล่าวว่า “ฉันต่อต้านแรงงานผิดกฎหมาย และเข้าใจแรงงานที่เข้ามาถูกกฎหมาย”
แต่พวกเขาหลงลืมไปว่าเพราะรัฐไทยนี่แหละที่เป็นต้นตอของปัญหาที่ทำให้แรงงานข้ามชาติต้องอยู่อย่างผิดกฏหมาย เพราะในขณะที่ความต้องการใช้แรงงานข้ามชาติในราคาถูกของไทยสูงลิ่ว แต่กระบวนการต่ออายุใบอนุญาตทำงานกลับมีค่าใช้จ่ายสูงหลักหมื่น เนื่องจากกระบวนการนายหน้าที่เรียกเก็บผลประโยชน์ รวมถึงการเก็บค่าคุ้มครองในพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่รัฐไทย
ไม่มีใครอยากเป็นคนนอกกฎหมาย ถ้าพวกเขามีทางเลือกและมีกระบวนการที่เป็นธรรมในการเข้าถึงความถูกต้อง
อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่วินาทีที่ภาพวิดีโออาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เขตจตุจักร ถล่มถูกเผยแพร่จากหน้าสื่อที่กลุ่มแรงงานข้ามชาติวิ่งหนีตาย บ้างร้องห่มร้องไห้ เพราะคนที่เขารักหรือรู้จักกันถูกฝังร่างอยู่ใต้ตึกอาคารที่ถล่ม
น้ำตาที่ไหลของพวกเขาทำให้คนไทยได้เห็นภาพในอีกมุมหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “การพัฒนา” ที่มีแรงงานข้ามชาติเป็นฟันเฟืองอยู่ด้วย บางทีอาจทำให้สังคมไทยฉุกคิดได้บ้างว่า กระแสที่คนบางกลุ่มพยายามปลุกและตีตราดูถูกพวกแรงงานข้ามชาติ จริงๆแล้วพวกเขาก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีชีวิตจิตใจเหมือนกันกับเรา
ทุกๆวันพวกเขาต้องทำงานที่เสี่ยงอันตราย สกปรก และเป็นงานที่ยากลำบาก ในอุบัติเหตุใหญ่ๆ ตั้งแต่บนถนนพระราม 2 จนมาถึงอุบัติเหตุตึกถล่มครั้งนี้ ส่วนหนึ่งของผู้โชคร้ายคือแรงงานข้ามชาติ
แรงงานข้ามชาติจากฝั่งประเทศพม่าคือเพื่อนบ้านของเราที่ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยก็ควรเห็นใจหรือเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ
หากพวกเขาเกิดมาในช่วงปี 1990 เขาจะเติบโตมาพร้อมกับการปกครองแบบเผด็จการและโหดร้ายนานถึง 20 ปี จนกระทั่งในช่วงปี 2011 ที่พอลืมตาอ้าปากมีความหวังในชีวิตเมื่อมีการเปิดประเทศ แต่กลับกลายเป็นว่าอีก 10 ปีให้หลัง ความหวังของพวกเขาต้องพังทลาย เมื่อเกิดการรัฐประหารและการสู้รบระหว่างประชาชนกับรัฐบาลทหาร
คนรุ่นเดียวกับผมในวัย 30 ปี ต้องจากบ้านจากครอบครัวมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เผชิญหน้ากับการถูกรังเกลียดเหยียดหยาม เหมือนถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แถมยังเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่คร่าชีวิตคนอีกจำนวนมาก ยังไม่รวมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินต่างๆ และที่ประเมินค่าไม่ได้คือสภาพจิตใจ
หากคนไทยเรายังตื่นตระหนกและหวาดกลัวกับแผ่นดินไหวที่จุดศูนย์กลางซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของประเทศไทยนับพันกิโลเมตร แต่สำหรับชาวคนเมียนมาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย พวกเขาก็อยู่ในความหวาดกลัวไม่ต่างกันจากเรา
พวกเขาไม่รู้ว่าครอบครัวของตัวเองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ความเข้าใจและความเห็นใจของคนไทยเป็นเรื่องที่สำคัญ
——–



