ภาสกร จำลองราช

แม้ขาข้างหนึ่งเป็นขาเทียม แต่เขาสามารถเดินขึ้นเนินที่ค่อนข้างชันได้อย่างคล่องแคล่ว มีเพียงไม่ไผ่ลำหนึ่งที่ทำหน้าที่ไม้เท้าช่วยพยุง ขณะที่ทหารซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา 4-5 คนคอยเดินตามอยู่ห่างๆ
ความพิการของร่างกายไม่เป็นอุปสรรคสำหรับนักต่อสู้เพื่อมวลชนชาวกะเหรี่ยงคนนี้
พ.อ.เข่เล สูญเสียขาข้างซ้ายไปเมื่อ พ.ศ.2535 ในสมรภูมิ “ถวิ่ พา วีโจ” หรือ สมรภูมิ “ดอยหมานอน” ซึ่งเป็นศึกใหญ่ที่กองทัพกะเหรี่ยงร่วมกันต่อต้านกองทัพพม่าที่ต้องการบุกยึด “มาเนอปลอว์” ศูนย์บัญชาการใหญ่ ของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) ในยุคที่มี นายพลโบเมียะ เป็นผู้นำ

ปัจจุบัน พ.อ.เข่เล ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันรักษาความปลอดภัย (ผบ.พัน รปภ.) หรือกองพันจรยุทธ์ กองบัญชาการกลาง กองทัพปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง(Karen National Liberation Army–KNLA)ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการทหารของ KNU
“ตอนเสียขาข้างซ้ายไป ผมก็ไม่ได้เสียกำลังใจ เราต้องทำหน้าที่ในกองทัพต่อไป ต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกหลาน ทหารรุ่นต่อไป ผมยังทำงานเต็มที่” พ.อ.เข่เล อธิบายถึงความรู้สึกที่ทำให้ยืนหยัดต่อสู้มาได้จนถึงวันที่ “มาเนอปลอว์”กลับมาอยู่ในความดูแลของ KNU อีกครั้งในวันนี้ หลังจากถูกทหารพม่ายึดไปกว่า 30 ปี
มาเนอปลอว์ ตั้งอยู่บนที่ราบริมแม่น้ำเมย ตรงข้ามกับรอยต่อ จ.แม่ฮ่องสอนและ จ.ตาก เป็นดินแดนกอทูเลและเป็นประวัติศาสตร์ยุคใหม่ในการต่อสู้ของชนชาติกะเหรี่ยง โดยนายพลโบเมียะ และผู้นำกะเหรี่ยงได้รวบรวมกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆไว้ด้วยกันภายใต้การบริหารของสหภาพกะเหรี่ยง KNU มีการโครงสร้างการปกครองที่ชัดเจน รวมทั้งความร่วมมือระหว่างชาติพันธุ์ในนาม NDF ( National Democratic Front)

ค่ายมาเนอปลอว์ กลายเป็นศูนย์บัญชาการกลางสหภาพกะเหรี่ยง KNU รวมถึงเป็นศูนย์ประสานงานกลางขององค์กรชาติพันธุ์ต่าง ใน พ.ศ.2517 ถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองช่วงหนึ่งของกองกำลังและประชาชนกะเหรี่ยง ซึ่งนายพลโบเมียะสนับสนุนให้ทำการค้าขายชายแดนเพื่อนำรายได้มาต่อสู้กับกองทัพพม่า ซึ่งธุรกิจเมืองชายแดน ไม่ว่าจะเป็นที่ด่านแม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ด่านแม่แหละท่า ด่านแม่ตะวอ ด่านมอโพเก่ ด่านแม่สลิด จ.ตาก ไปจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี การค้าขายเป็นไปอย่างคึกคัก
“ตอนแรกเลยที่ผมเข้ามาเป็นทหารอายุ 15 ปี ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เมื่อปฏิบัติหน้าที่ไปสักพักจึงรู้ว่า หากไม่มีชาติ ไม่มีแผ่นดินของตัวเอง ก็จะถูกกดขี่ จึงต้องสู้เพื่อแผ่นดิน ไม่เช่นนั้นเขาก็จะกดขี้เราไปเรื่อยๆ” พ.อ.เข่เล เลือกเส้นทางชีวิต แม้จะต้องเผชิญกับความขาดแคลนในเรื่องของรายได้ เพราะทหาร KNU ไม่มีเงินเดือน มีเพียงสวัสดิการบางอย่างที่คอยจุนเจืออยู่นิดๆหน่อยๆ แต่อยู่กันด้วยอุดมการณ์
“พยายามที่สุด ผมอายุมากขนาดนี้แล้ว ทำงานเป็นทหารมาตลอด อยากมีชาติที่มีอิสระ มีสันติภาพ จะได้ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่จะพยายามเต็มที่” นายทหารกะเหรี่ยงยังมีความหวังเต็มเปี่ยมโดยเฉพาะสถานการณ์ในปัจจุบันซึ่งเป็นวันที่ทุกกองกำลังชาติพันธุ์ในพม่าต่างๆเข้มแข็งขึ้น ภายหลังจากกองทัพพม่าทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนเมื่อ 4 ปีก่อน ทำให้ประชาชนพม่าลุกขึ้นมาต่อสู้กับกองทัพพม่า

“พูดยากว่าช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุดมั้ย” นายทหารกะเหรี่ยงให้ความเห็นเมื่อถูกถามถึงสถานการณ์การกอบกู้อิสรภาพซึ่งกองกำลังกลุ่มต่างๆกำลังรุกไล่ทหารพม่า
“เขายังโจมตีทางอากาศ หากทหารราบรบกันก็คงไม่เป็นไร แต่ทหารพม่ามุ่งเป้าโจมตีประชาชนอย่างหนัก เวลานี้ทหารราบของเขาเข้ามาไม่ได้แล้ว แต่ความกังวลคือการโจมตีทางอากาศ”
มาเนอปลอว์ ถูกฝ่ายตรงข้ามยึดได้เมื่อปี 2538 ภายหลังเกิดความแตกแยกทางศาสนาขึ้นในกองทัพ KNU พร้อมกับการก่อกำเนิดของกองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตยหรือดีเคบีเอ (Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) ซึ่งสนับสนุนโดยกองทัพพม่า
“มาเนอปลอว์ คือพื้นที่ตรงข้ามชายแดนไทย ตั้งแต่ริมแม่น้ำเมยที่แม่ตะวอ มาถึงสบเมย ไปถึงจนเมงจีหงู่ ที่ริมแม่น้ำสาละวิน”นายทหาร KNU อธิบายให้เห็นภาพขอบเขตของพื้นที่ มาเนอปลอ

“น่าเสียใจที่หลุมฝังศพผู้นำของเราถูกทหารพม่าทำลายไปทั้งหมด อนุสาวรีย์ซอบาอูจีพม่าก็พังและเอาไปทิ้งแม่น้ำเมย ส่วนสถานที่ราชการ ตอนมาเนอปลอว์แตกเราได้เผาเพื่อทำลายเอกสารเท่านั้น แต่บ้านของนายพลโบเมียะ เป็นบ้านไม้สักสองชั้น ถูกพม่าเผาทำลายไปหมด”
สุสานของวีรชนชาวกะเหรี่ยงตั้งอยู่บนเนินแห่งหนึ่งห่างจากกองบัญชาการเดิมในมาเนอปลอว์ไม่มาก แต่ตอนนี้อิฐและปูนที่หลุมศพกลายเป็นซากปรักหักพังจากการทุบทำลาย ขณะที่กองทัพพม่าได้สร้างฐานปฎิบัติการทางทหารกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ จนกระทั่งเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ทาง KNU จึงสามารถขับไล่ทหารพม่าออกไปจาก มาเนอปลอว์ได้ทั้งหมด
“ก่อนมาเนอปลอว์แตก มีชุมชนริมแนวน้ำเมยมากมาย กระจายตัวอยู่ทั่วไป ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำไร่ ทำนา และค้าขายกับฝั่งไทย ตอนถูกโจมตี ผมได้คุ้มครองชาวบ้านหนีข้ามไปฝั่งไทย” พ.อ.เข่เล ฉายภาพให้เห็นอดีตชุมชนมาเนอปลอว์ เขาชี้ให้ดูจุดที่ตั้งบ้านพักของนายพลโบเมียะ ซึ่งอยู่ติดกับกองบัญชาการ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทหาร KNU สามารถผลักดันฐานปฎิบัติการทหารพม่าให้พ้นออกจากแนวตะเข็บแดนรัฐกะเหรี่ยงด้านตะวันออกที่อยู่ติดกับประเทศไทยได้เกือบหมด โดยเฉพาะตั้งแต่พื้นที่ตรงข้าม อ.สบเมย อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ไปจนถึงฝั่งตรงข้าม อ.อุ้มผาง จ.ตาก เมื่อสถานการณ์การสู้ชายแดนด้านตะวันออกเริ่มเบาบาง KNU ได้ตัดถนนเลียบลำน้ำสาละวินและลำน้ำเมยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเส้นทางขนไม้เก่า โดยคาดหวังว่าอนาคตเส้นทางนี้จะกลายเป็นเส้นทางสำคัญที่ใช้ในการค้าขายและอำนวยความสะดวกด้านต่างๆให้ประชาชน
“พื้นที่มาเนอปลอว์ น่าจะรองรับประชาชนได้ราว 3,000 คน เราอยากให้ชาวบ้านที่เป็นผู้ลี้ภัยที่อยู่ในศูนย์พักพิงฝั่งไทย กลับเข้ามาอยู่ แต่คงต้องมีการวางแผนรัดกุม รวมทั้งการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ด้วย ต้องค่อยๆ เคลียร์”นายทหารกะเหรี่ยงและเหล่าผู้นำ KNU หลายคนมองถึงอนาคต
“ปัญหาใหญ่คือในพื้นที่ทหารพม่าได้วางระเบิดสังหารไว้ราว 1,500 ลูก ซึ่งตอนนี้เราสามารถเคลียร์ได้เพียง 100 ลูก อยากให้ประเทศไทยและนานาชาติที่มีเครื่องไม้เครื่องมือเรื่องการเคลียร์ระเบิดเข้ามาช่วยเหลือ” นายทหาร KNU บอกถึงข้อจำกัดของพื้นที่ที่ยังเป็นปัญหาจนไม่สามารถนำชาวกะเหรี่ยงกลับมาอยู่ได้

“ตอนนี้ชาวบ้านบางส่วนเริ่มย้ายกลับเข้ามาอยู่ คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ต่างเป็นเครือญาติกัน เขาช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด เขาอยากกลับมาอยู่ร่วมกัน อยากใช้ชีวิตเป็นปกติสุข ทุกคนที่ได้กลับมาต่างก็ดีใจเพราะไม่มีทหารพม่าอยู่แล้ว” พ.อ.เข่เล มีสายตาอันเปล่งประกาย เมื่อพูดถึงวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงที่เริ่มฟื้นคืนมา
“เมื่อก่อนริมแม่น้ำสาละวินไม่ค่อยมีชาวบ้านอยู่ เพราะมีฐานทหารพม่า แต่ตอนนี้ตลอดลำน้ำสาละวิน ชาวบ้านกลับมาอยู่เยอะขึ้น ตั้งแต่เราผลักดันทหารพม่าออกไป”
ในวันนี้ชาวกะเหรี่ยงริมแม่น้ำเมยและสาละวิน ทยอยกลับมาปักหลักทำมาหากินตามวิถีดั้งเดิม แม้ยังคงหวาดระแวงภัยสงครามจากาการทิ้งระเบิดด้วยอากาศยานของกองทัพพม่า แต่ความหวังของชาวบ้านได้เริ่มต้นนับหนึ่งของความเป็นจริง
ติดตามดูกันต่อไปว่า ความหวังของชาวกะเหรี่ยงจะได้นับ 2,3,4…และต่อๆไปหรือไม่ ในเมื่อสงครามอันยาวนานนี้ยังไม่จบสิ้น