
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กรณีผลกระทบมลพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำกกซึ่งไหลผ่าน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ 6 อำเภอใน จ.เชียงราย ว่าการแก้ปัญหาต้องเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องปริมาณน้ำ แต่เป็นเรื่องคุณภาพน้ำ ที่ต้องแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะฝั่งไทยได้ ควรเป็นหน้าที่ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะ regulator ของประเทศ กรมควบคุมมลพิษทำได้เฉพาะในประเทศ แต่เท่าที่เห็นก็ยังแทบไม่มีบทบาท ควรเป็นรัฐมนตรีที่ดูแล
ดร.สิตางศุ์ กล่าวอีกว่าตอนนี้รู้แล้วว่าเจอมลพิษเกินระดับมาตรฐาน ซึ่งหากแย่สุดคือไม่ควรเป็นน้ำดิบผลิตน้ำประปาเลย แต่หากไม่มีแหล่งน้ำอื่นก็อาจต้องมีวิธีการกำจัดเพื่อนำสารพิษออก ซึ่งต้องลองทำแล้ววัดค่า อาจต้องเติมสารประกอบลงไป นี่คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อยากให้ตรวจด้วยว่าน้ำใต้ดินปนเปื้อนหรือไม่ อาจมาจากการทำเหมือง หรือสาเหตุอื่นๆ หากมีอยู่ในธรณีแล้วน้ำบาดาลก็อาจปนเปื้อนด้วย ดังนั้นการตรวจเฉพาะน้ำผิวดินอาจไม่เพียงพอ หากตรวจว่าน้ำบาดาลไม่พบมลพิษก็อาจใช้เป็นแหล่งประปา โดยเฉพาะประปาหมู่บ้าน การจัดการต่อแหล่งปนเปื้อนจำเป็นต้องไปคุยกับเพื่อนบ้าน เพราะคือน้ำที่เราใช้อุปโภคบริโภค
ผู้สื่อข่าวถามว่ากติการะหว่างประเทศที่ควบคุมการใช้แม่น้ำข้ามพรมแดนมีหรือไม่ ดร.สิตางศุ์ตอบว่าเท่าที่ทราบไม่มี ขนาดแม่น้ำโขง จีนยังทำอะไรก็ได้ ซึ่งการฟ้องร้องคงไม่ใช่วิถีทาง ควรเป็นการเจรจาน่าจะดีที่สุด คงไม่ใช่การเริ่มด้วยความขัดแย้ง เพราะผลกระทบคือเดือดร้อนคนทั้งสองประเทศ
ดร.ศิตางศุ์กล่าวถึงผลกระทบเรื่องการเกษตร ที่ใช้น้ำโดยตรงจากแม่น้ำกก ว่าการปนเปื้อนสารโลหะหนักในการเกษตรไม่ได้เกิดที่นี่เป็นที่แรก ดังนั้นกรมควบคุมมลพิษจะจัดการอย่างไร หากหน่วยงานราชการเพิกเฉยละเลยสิ่งที่ต้องทำ คือการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนไทย ก็คงไม่ต้องถึงกับว่าต้องฟ้องหน่วยงานรัฐ เมื่อพบก็ต้องแนะนำประชาชนว่าต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งต้องทำร่วมกันหลายหน่วนงาน กรณีนี้เป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ เฉพาะหน้าอาจต้องหาแหล่งน้ำสำรองในทันที
“ตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นใคร take action ซึ่งที่นี่ไม่ใช่ที่แรก แต่กลับเป็นการที่หน่วยงานเพิกเฉย และประชาชนก็ต้องเผชิญปัญหา” ดร.ศิตางศุ์กล่าว
ขณะที่สำนักข่าว The Reporters และ สำนักข่าวชายขอบร่วมจัดเวทีออนไลน์ “น้ำกกสะอื้นและฝันร้าย ถึงภัยพิบัติของชาวเชียงราย ตอน 2” โดยมี ผศ.ดร.นิอร สิริมงคลเลิศกุล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ. เชียงราย และน.ส.มณีรัตน์ เขมะวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เชียงราย เข้าร่วมเสวนา ดำเนินรายการโดยฐปณีย์ เอียดศรีไชย
ผศ.ดร.นิอร กล่าวว่า ได้เปิดให้ชาวเชียงรายลงชื่อรณรงค์เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเจรจายุติเหมืองทองในต้นน้ำกก “เซฟแม่กก” ซึ่งเริ่มจากคำถามว่าสารหนูมาจากไหน โคลนมาจากไหน ที่กระทบคนท้ายน้ำ ตั้งคำถามว่าใกล้จะถึงฤดูฝนแต่ยังไม่เห็นการเตรียมการในระดับพื้นที่และชุมชนในเรื่องระบบเตือนภัยที่ใกล้ชิดกับประชาชนเลย บ่งบอกถึงความไม่มั่นคงของวิถีชีวิตของคนในลุ่มน้ำกก จึงชวนกันตั้งคำถามไม่ให้เรื่องเช่นนี้ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ควรมีการระดมสรรพกำลังและหาทางออกร่วมกัน ซึ่งจากภาพที่เห็นของมูลนิธิของสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ SHRF มีการทำเหมืองมากมาย คิดว่าเป็นไปได้ไหมความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดจากแหล่งนั้น จึงเป็นที่มาของงานเซฟแม่กก และร้องขอให้มีการเจรจาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่เรื่องแก้ปัญหาการทำเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ ไปถึงต้นเหตุที่แท้จริงได้การแก้ไขปัญหาจึงจะถูกจุด
อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา กล่าวว่าปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ ตนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเร่งด่วน ไม่อยากเป็นเหมือนเดิม เพราะเชียงรายกลายเป็นพื้นที่เปราะบาง ทั้งปัญหาไฟป่า หมอกควัน ปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตในทุกวัน ยกตัวอย่างภัยที่เกิดกับเมืองมินามาตะ ที่ญี่ปุ่น ที่กว่าจะให้ความสำคัญต้องมีการป่วยที่ มีการตายกันมากมาย แล้วค่อยมาเรียกร้องการชดเชยเยียวยาซึ่งไม่คุ้มกันเลย แต่เมื่อเราทราบตอนนี้แล้วหาแนวทางแก้ไขเร่งด่วนอย่างไรได้บ้าง
ดร.นิอร กล่าวอีกว่าต้องดำเนินการเร่งด่วนเพื่อลดความเสียหาย ปัญหาที่กระทบต้นน้ำกับท้ายน้ำส่งผลทั้งไทยและเมียนมา ปัญหาข้ามพรมแดนนี้ต้องสร้างความร่วมมือ ใช้โครงสร้างประสานงานให้เป็นเรื่องเร่งด่วน ก่อนที่ฤดูฝนจะมาถึงในปีนี้ ส่วนชาวบ้านก็ได้ร่วมมือช่วยกันปักเสาวัดระดับน้ำ ร่วมกันมอนิเตอร์ระดับน้ำ ตนมีความคาดหวังต่อท้องถิ่นท้องที่จะวางแผนใกล้ชิดกับประชาชน เป็นกรณีตัวอย่างที่จะเห็นรัฐร่วมมือกับประชาชนให้ดีที่สุด
ด้าน น.ส.มณีรัตน์ เขมะวงศ์ ส.ว.เชียงราย กล่าวว่า ได้ผลักดันการแก้ไขปัญหาโดยการหารือในวุฒิสภา และส่งเรื่องไปยังรัฐบาลร่วมกันหาสาเหตุที่แท้จริง ในฐานะคนเชียงรายในเรื่องสิ่งแวดล้อมของพื้นที่เชียงรายนั้นมีทั้งปัญหาสภาพอากาศและแหล่งน้ำ จัดเป็นปัญหาเร่งด่วน ขณะนี้สมมุติฐานแหล่งที่มาของสารหนูในแม่น้ำกกอยู่นอกประเทศ เชื่อว่าคนจำนวนมากก็ต้องการให้แก้ไขเร่งดำเนินการ คนเชียงรายโอกาสเข้าถึงน้ำสะอาดน้อยลง น้ำประปาที่ดื่มกินนี้เป็นการเติมสารพิษในร่างกายหรือไม่ การดำเนินการแก้ไขปัญหาจึงไม่ใช่ระดับจังหวัดชายแดน ต้องเป็นระดับประเทศที่ต้องเจรจาข้ามพรมแดน
ในวันเดียวกันเพจสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย รายงานว่า ประมงจังหวัดเชียงราย นำโดยนายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบของสารปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก บริเวณสวนสาธารณะองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า
สัตว์น้ำในพื้นที่ยังคงมีพฤติกรรมเป็นปกติ ลูกปลาขนาดเล็กว่ายน้ำได้ตามธรรมชาติ ไม่แสดงอาการอ่อนแรงหรือผิดปกติ ลักษณะลำตัวของปลายังคงสีสันตามธรรมชาติ ไม่มีสีซีดหรือคล้ำผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำพบว่ามี สารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนในระดับ 0.013 มิลลิกรัม/ลิตร แม้จะอยู่ในระดับไม่สูง แต่สามารถสะสมในร่างกายสัตว์น้ำได้ หากมีการอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเป็นเวลานาน การบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งนี้เป็นประจำอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว ประมงจังหวัดเชียงราย ขอแนะนำให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และระมัดระวังในการบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำกกในช่วงนี้ โดยเฉพาะหากรับประทานเป็นประจำ เพื่อป้องกันผลกระทบสะสมจากสารพิษในอนาคต
นายณัฐรัฐ กล่าวว่า จากการได้ลงพื้นที่ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา ตรวจสภาพน้ำสำหรับการดำรงชีพสัตว์น้ำ พบว่าค่า PH ความกระด้าง สภาพน้ำยังเหมาะแก่การดำรงชีพสัตว์น้ำ ผลการตรวจส่วนใหญ่ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะกระทบต่อสัตว์น้ำ และสัตว์น้ำ ปลาเล็กปลาน้อยริมตลิ่งยังว่ายดูปกติ ยังไม่แสดงอาการอ่อนแรง ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะกระทบต่อสัตว์น้ำ ส่วน ปริมาณสารหนู ที่ปนเปื้อนในระดับ 0.11-0.013 มิลลิกรัมต่อลิตร ที่ต้องระวังในเรื่องของการใช้ประโยชน์น้ำโดยตรง แต่กับสัตว์น้ำ ถือว่าไม่สูงมากนัก และเข้าไปในตัวปลาจะน้อยมาก อยู่ในขั้นที่รับได้ แต่ให้เฝ้าระวัง
“การจับปลาน้ำกกเป็นวิถีพื้นบ้าน ส่วนใหญ่ก็หาปลาเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ปลาธรรมชาติขึ้นจากน้ำกกมีน้อยมาก การนำมาจำหน่ายในท้องตลาดไม่มากนักไม่ถึง 10% เชียงรายมีรายได้จากสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงเป็นหลัก”นายณัฐรัฐ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการเก็บสัตว์น้ำมาทำการวิจัยปริมาณสารพิษสะสมหรือไม่ ประมงจังหวัดกล่าวว่า ประมงจะเน้นเรื่องการวิเคราะห์น้ำเบื้องต้น สังเกตสภาพน้ำที่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ อาทิ ทางกายภาพ ความขุ่น ของแข็งแขวนลอย ค่าออกซิเจน ความเป็นกรด-ด่าง ความกระด้าง ไนเตรต แต่ถ้าตรวจลึก ๆ การวิจัยตัวอย่างการวิเคราะห์ค่าตรวจค่อนข้างจะสูงประมาณ 4-5 หมื่นต่อตัวอย่าง การแก้ไขปัญหาทางผู้ว่าราชการจังหวัดคงหามาตรการต่าง ๆ มาดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามเรื่องกรณีที่มีข่าวว่าสัตว์น้ำตายที่ท่าน้ำกกบ้านน้ำลัด ประมงจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า กรณีที่การชูเต่าที่เสียชีวิตนี้อยากจะทำความเข้าใจว่า เต่าที่เห็นนั้นเป็นเต่านา ปกติจะอยู่ในนา เข้าใจว่าอาจมีคนนำมาปล่อย แต่เต่าชนิดนี้ไม่สามารถอยู่ในแม่น้ำได้ จึงอาจเป็นเหตุทำให้เต่านาตาย ซึ่งไม่เหมาะแก่การนำมาปล่อยในแม่น้ำ เห็นว่าการชูเรื่องเต่าตายมันผิดประเด็น ทำให้เกิดความตื่นตระหนก
ด้านนายอาวีระ ภัคมาตร์ ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) กล่าวว่า ในวันที่10เมษายน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภายหลังจากการประชุมวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งทางผู้ว่าฯได้สั่งการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการเพื่อแจ้งเตือนประชาชนและเก็บข้อมูลเพื่อนำมาร่วมกันแก้ไขปัญหา และเพื่อหาแนวโน้มว่าสถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักสารหนูในแม่น้ำกกจะคงที่ไหม จะกระจายไปแค่ไหน มีการตั้งคณะทำงานไปเก็บข้อมูลและการส่งตรวจน้ำประปานอกเขตบริการของ กปภ.เชียงราย และการเก็บตัวอย่างตรวจตลอดลำน้ำกกในจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ความชัดเจนกับประชาชนที่อยู่ติดแม่น้ำกก และมีการเก็บทุกกิจกรรมทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม ครัวเรือนว่ามีการปล่อยน้ำเสียหรือสารเคมีลงในจุดใดบ้างที่ทำให้กระทบต่อน้ำกก ถามว่าหากมีสารพิษสะสมให้น้ำในสัตว์น้ำจะเกิดอาการต่อร่างกายใช้เวลานานแค่ไหน ผอ.คพ. 1 กล่าวว่า สำหรับการบ่งชี้ในเรื่องการสะสมสารเคมีในร่างกายระยะยาวแบบเรื้อรังจะใช้เวลาที่จะแสดงอาการอย่างน้อย 4-5 ปี



