เสถียร ฉันทะ
คณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ (ผู้ทรงคุณวุฒิ)

นับแต่วิกฤตอุทกภัยปลายปี 2567 ที่ผ่านมา สภาพลำน้ำกกก็ไม่เหมือนเดิม แหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงผู้คนในลุ่มน้ำมาช้านานเริ่มสร้างความวิตกกังวลถึงความปลอดภัยให้กับผู้คนที่อาศัยในที่ราบลุ่มน้ำแห่งนี้ แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดในรัฐฉานเมียนมา ไหลผ่านตั้งแต่ชายแดนเมียนมาเข้าสู่เขตประเทศไทยที่ช่องน้ำแม่กก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และไหลไปทางทิศตะวันออกเข้าสู่เขต อ.เมืองเชียงราย ผ่านตัวเมืองเชียงราย จากนั้นไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่ อ.เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง แม่จัน และเชียงแสน แล้วไหลไปลงสู่แม่น้ำโขงที่บ้านสบกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย รวมความยาวราว 285 กม. อยู่ในเขตเมียนมา 128 กม. และอยู่ในประเทศไทยยาวประมาณ 157 กม. มีพื้นที่ลุ่มน้ำทั้งหมดประมาณ 10,875 ตร.กม. ในประเทศไทยมีพื้นที่ลุ่มน้ำ 7,300.40 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด คือ เชียงใหม่ และเชียงราย
ปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบันของการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแม่น้ำกกและวิถีชีวิตของประชาชนลุ่มน้ำกกมี 2 ประการคือ
1.ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์อทุกภัยหรือน้ำท่วม ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2567 และที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่ประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกกยังไม่ทราบถึงแนวทางในการรับมือภัยพิบัติ ว่าต้องทำอย่างไร และฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งประเด็นนี้จะมานำเสนอแลกเปลี่ยนในโอกาสถัดไปในฐานะที่ผมเป็นกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ (ผู้ทรงคุณวุฒิ) คนหนึ่ง

2.ปัญหาการปนเปื้อนของโลหะหนัก โดยเฉพาะการตรวจพบสารหนู (Arsenic) และตะกั่ว (Lead) ในแม่น้ำกก จากข้อมูลของมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ Shan Human Right Foundation รายงานข้อมูลการทำเหมืองแร่ทองในเมืองยอน เมืองสาด ภาคตะวันออกของรัฐฉาน เขตอิทธิพลของว้า กับทุนจีน และกองทัพทหารเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของคนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก (ยังไม่นับรวมถึงการเข้าไปลงทุนทำเหมืองถ่านหินในรัฐฉานของบริษัทไทย) และปัญหาการปนเปื้อนโลหะหนักที่กำลังเกิดขึ้นในลำน้ำกกในปัจจุบันมาจากการทำเหมืองทองคำทางตอนใต้ของเมืองสาด รัฐฉาน โดยกลุ่มทุนบริษัทจีน 7 บริษัทที่มีความสัมพันธ์กับกองทัพว้า ได้เริ่มทำเหมืองแร่ทองคำในหลายพื้นที่ที่ติดกับแม่น้ำกกตั้งแต่ปี 2566 สารพิษจากการทำเหมืองแร่จะไหลลงสู่แม่น้ำโดยตรง และเหมืองแร่เหล่านี้ตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนประเทศไทยเพียง 30 กม. (ดูแผนที่การทำเหมืองแร่)
การทำเหมืองแร่ทองคำริมน้ำกกในเมืองยอน รัฐฉาน (ที่มา: Shan Human Right Foundation)
ผลการตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก (ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ภาค 1)
โดยหลักการแก้ไขปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อมมีอยู่ 3 ประการคือ
1) การแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดมลพิษ (Pollutant sources)
2) การแก้ไขที่ทางผ่านของมลพิษ (Pollutant pathway)
3) การแก้ไขที่ผู้สัมผัสหรือได้รับผลกระทบ (Pollutant Exposure or exposure to environmental contaminants)
เมื่อพิจารณาและวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขและลดผลกระทบของปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน ในมุมมองของประชาชนคนหนึ่งที่อยู่และใช้น้ำจากแม่น้ำกกในแต่ละหลักการข้างต้นพอสังเขปดังนี้
1) การแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดมลพิษ (Pollutant sources)
ประเด็นการแก้ไขปัญหาแหล่งกำเนิดของสารมลพิษที่ตรวจพบในแม่น้ำกกทั้งสารหนูและตะกั่วนั้นมีแหล่งกำเนิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำในรัฐฉาน ของเมียนมา ในมุมมองของผมแล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะบอกหรือสื่อสารให้กองทัพรัฐว้า ทุนจีน และบริษัทในเครือกองทัพทหารเมียนมาหยุดการทำเหมืองที่เป็นต้นเหตุของการปล่อยสารโหละหนักเหล่านี้ลงสู่แม่น้ำกก โดยสภาพอำนาจการจัดการในระดับพื้นที่ เช่น ระดับจังหวัด หรือระดับภาคที่มีผู้บริหารอย่างผู้ว่าราชการจังหวัด หรือหน่วยงานความมั่นคงเช่นกองทัพภาค ดูแลคงขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาโดยลำพังยากลำบาก เนื่องจากต้องเป็นบทบาทหน้าที่ของรัฐบาลผู้บริหารประเทศ ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาการเมืองระหว่างประเทศและการเกิดมลพิษข้ามแดน อย่างไรก็ตามความหวังที่จะเห็นรัฐบาลภายปัจจุบันคงเป็นความหวังที่ริบหรี่หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะต้นเหตุของปัญหาอยู่นอกเขตอธิปไตยของไทย ประสาอะไรกับในเขตอธิปไตยของไทยการเข้ามาตั้งฐานทัพในชายแดนของทหารว้าในแผ่นดินไทย หรือการรุกล้ำทางชายแดนภาคตะวันออกยังไม่มีปัญญาจัดการ และเรื่องราวก็จะเงียบหายไปหลังจากมีเรื่องอื่นใหม่ๆที่เกิดขึ้นและเข้ามาแทนที่ในพื้นที่สื่อแทน
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดจะเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ การหยุดการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน หรือทำเหมืองแร่ต่อไป แต่มีการออกแบบและก่อสร้างระบบบำบัดสารเคมีโลหะหนักในกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานก่อนปล่อยน้ำทิ้งลงสู่แม่น้ำกก
อย่างไรก็ตามผมก็ยังมีความหวังว่ารัฐบาลจะต้องลงมาแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนือ โดยเฉพาะแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย ซึ่งมีต้นน้ำในรัฐฉาน เมียนมา รวมถึงแม่น้ำสาขาต่างๆในเขตประเทศเพื่อนบ้านที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงหากมีการทำเหมืองแร่ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพและการปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำโขงด้วยเช่นเดียวกัน
แม้ว่าความหวังจะริบหรี่ ในความเห็นทางออกของการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุคือรัฐบาลต้องเทคบทบาทเป็นวาระสำคัญของการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะการเจรจากับประเทศจีน เมียนมา และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่รัฐฉาน โดยเฉพาะกองทัพว้า
สิ่งที่คนเชียงรายและเชียงใหม่บางส่วนจะต้องทำตอนนี้คือ “การเปิดพื้นที่สาธารณะของทุกภาคส่วนและการร่วมลงชื่อเพื่อส่งมอบให้กับนายกรัฐมนตรีและคณะ” ในการนำเอาปัญหาและแนวทางในการแก้ไขไปเจรจาร่วมกับผู้ที่ทำให้เกิดปัญหามลพิษข้ามแดนที่กล่าวมา
ย้ำนะครับว่าปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีโลหะหนักในแม่น้ำกกเป็นปัญหาการเมืองสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาต้องใช้กระบวนการการเมืองระหว่างประเทศเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้
2) การแก้ไขที่ทางผ่านของมลพิษ (Pollutant pathway)
การแก้ไขปัญหาที่ทางผ่านของมลพิษ ในที่นี้คือน้ำในแม่น้ำกกที่ปนเปื้อนโลหะหนัก ซึ่งปัจจุบันตรวจพบสารหนูและตะกั่ว ด้วยตัวแม่น้ำเป็นระบบนิเวศที่มีความซับซ้อนและปริมาณน้ำที่ไหลเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่น้ำนิ่งที่ในอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนกักเก็บน้ำที่สามารถควบคุมการไหลออกหรือจำกัดพื้นที่การกระจายของน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนักเหล่านี้ได้ การปนเปื้อนของโลหะหนักเหล่านี้จะกระจายแทรกซึมเข้าสู่ระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องและเข้าสู่ระบบห่วงโซ่อาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่มากมายเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหารจากการปนเปื้อนสารเคมีโลหะหนักที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆในอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และเหมืองแร่ในประเทศต่างๆ แอฟริกา อเมริกาใต้ เอเชีย หรือแม้กระทั่งตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทั้งกรณีเหมืองทองในบางพื้นที่ หรือกรณีหมู่บ้านคลิตี้ล่างที่ได้รับผลกระทบการปนเปื้อนสารตะกั่วจากโรงแต่งแร่ตะกั่วในจังหวัดกาญจนบุรี ผลกระทบที่สารโลหะหนักแทรกซึมในระบบห่วงโซ่อาหารถือว่าเป็นหายนะของมนุษย์ เพราะสารโลหะหนักเหล่านี้จะถ่ายทอดสู่คนเมื่อบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายและเกิดการสะสมจนเกิดอันตรายต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มิรวมถึงที่เราใช้น้ำจากแม่น้ำกกเพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ ทั้งเป็นแหล่งน้ำดิบเพื่อผลิตประปา ทำประมง การเกษตร สันทนาการและการท่องเที่ยว จะเกิดผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงการทำมาหากินของผู้คนมากมาย
ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงมีคำถามว่า “เราจะทำอย่างไรในการจัดการลดการปนเปื้อนของโลหะหนักที่เกิดขึ้นในแม่น้ำกก…?….” ในที่ประชุมส่วนราชการเร่งด่วนที่ท่านผู้ว่าฯ เรียกประชุม มีการเสนอเพื่อสร้างระบบกักน้ำเป็นระยะทางต้นน้ำชายแดนไทยที่เริ่มแรกของน้ำกกไหลเข้าไทย ดูเหมือนว่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งแต่จะทำได้อย่างไรทั้งในแง่เชิงพื้นที่ งบประมาณ และการจัดการ หรือในมุมมองผมทางเลือกการนำเอาระบบบำบัดน้ำเสียแบบแบบบึงประดิษฐ์ หรือ Constructed wetland system มาออกแบบ แต่ปัญหาก็คือปริมาณน้ำที่มีมาก (Volume) อัตราการไหลที่เชี่ยวกราก ลักษณะเชิงภูมิศาสตร์ของพื้นที่ในการดำเนินการไม่เหมาะสม ฯลฯ จะเห็นว่ามีปัจจัย/เงื่อนไขมากมายที่เป็นอุปสรรคในการจัดการ ซึ่งปัญหาการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำจากการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกล้วนเป็นปัญหาและโจทย์ที่ยากมากในการแก้ไขในระบบนิเวศแม่น้ำ
ซึ่งการปนเปื้อนของโลหะหนักที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการนำน้ำจากแม่น้ำกกมา กำลังทำให้เกิดความวิตกกังวลและวิกฤตศรัทธาต่อความเชื่อมั่นคือ คุณภาพน้ำประปา ปลอดภัยจริงหรือไม่
สำหรับกระบวนการผลิตน้ำประปานั้นปกติ ต้องพิจารณาคุณภาพน้ำดิบที่จะนำมาเข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำประปาต้องผ่านเกณฑ์คุณภาพตามมาตรฐาน การออกมาเปิดใช้น้ำประปาล้างหน้าของผู้บริหารการประปาฯ เป็นเพียงการสร้างภาพเพื่อให้ประชาชนมั่นใจคุณภาพน้ำ ซึ่งไม่ต่างจากภาพในอดีตที่มีการกินไก่โชว์ของอดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงการระบาดของโรคไข้หวัดนกเมื่อยี่สิบปีก่อน สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือข้อมูลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทั้งน้ำดิบก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำประปาต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ปราศจากการปนเปื้อนโลหะหนัก และข้อมูลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำประปาที่ผ่านการผลิตแล้ว ตลอดจนน้ำปลายท่อในพื้นที่ต่างๆ ที่การประปาส่งไปให้บริการแก่ประชาชนว่ามีคุณภาพ ปลอดภัยได้มาตรฐานคุณภาพตามที่กรมอนามัย และองค์การอนามัยโลกกำหนด นั่นคือการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ขณะเดียวกันเมื่อหันมาพิจารณาผลกระทบต่อระบบนิเวศ เกษตรกรรม และประมง ทั้งปัจจุบันและในอนาคตแล้ว สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งคือกระบวนการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากแม่น้ำกกที่เป็นปัจจุบัน (Real times) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งประมง สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ภาค ต้องมีระบบการติดตั้งและตรวจวัดคุณภาพน้ำที่สามารถแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเป็นการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพน้อยในแง่ของการกำจัดสารพิษหรือโลหะหนัก แต่เป็นข้อมูลในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเพื่อลดการสัมผัสของประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำน้ำจากแม่น้ำกกไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆต่อ เช่น ประปา ประมง การเกษตร เป็นต้น
นอกจากนี้การเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่ในระบบนิเวศแม่น้ำกกเพื่อตรวจสอบสารโลหะหนักก็ต้องมีการดำเนินการด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในระยะยาว เช่น การตรวจสอบการปนเปื้อนในดิน พืชผลทางการเกษตรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก การตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนในปลา และสัตว์น้ำ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระบบนิเวศลุ่มน้ำกก เป็นต้น เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนแนวทางในการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อไป
3) การแก้ไขที่ผู้สัมผัสหรือได้รับผลกระทบ (Pollutant Exposure or exposure to environmental contaminants)
การแก้ไขที่ผู้สัมผัสหรือได้รับผลกระทบนั้นอาจจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ คือกลุ่มแรกผู้ที่ได้รับการสัมผัสโดยตรงจากการใช้ประโยชน์จากน้ำในแม่น้ำกก เช่น เกษตรกร ชาวประมง ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและประชาชนที่ใช้แม่น้ำกกเพื่อสันทนาการ และกลุ่มที่สองคือประชาชนทั่วไป ที่ใช้น้ำอุปโภคบริโภคทั้งจากการประปาส่วนภูมิภาค และประปาหมู่บ้านที่สูบน้ำดิบจากแม่น้ำกก
สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ 1 จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการปัญหาของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและทำการสื่อสารในทิศทางเดียวกันเกี่ยวกับปัญหาผลกระทบ ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน และมาตราการแนวทางในการรับมือ 2 การให้ข้อมูลและความรู้แก่ประชาชนทุกกลุ่มที่อาศัยหรือใช้น้ำจากแม่น้ำกก เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ โทษ อันตรายและแนวทางการป้องกันตนเองที่ถูกต้อง เหมาะสม 3 ช่องทางการสื่อสาร การแจ้งข่าว หรือเหตุการณ์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกต่อศูนย์บริหารจัดการปัญหาฯ เพื่อรวบรวมและดำเนินการแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นปัจจุบัน 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสุขภาพ อาทิ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและหน่วยงานในสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการดำเนินการมาตราการทั้งเชิงรับและเชิงรุกในการเฝ้าระวังและป้องกันผลกระทบทางสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นจากการสัมผัสสารโลหะหนักในแม่น้ำกก โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพกลุ่มเสี่ยง และการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำอุปโภคบริโภคในชุมชน