โดย Oh Ra Ra

กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน


ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่
พ.ท.นอว์บู โฆษกของ KIO กล่าวว่าทาง KIO/KIA กำลังอยู่ในระหว่างการร่างนโยบายเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่หายาก และยังไม่ทราบรายละเอียดการส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน อีกทั้งยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์กับสื่อ
นักวิชาการคะฉิ่นรายหนึ่งให้ความเห็นว่า ในช่วงที่กองกำลังรักษาชายแดน (Border Guard Force-BGF) ภายใต้อาณัติของกองทัพพม่า บริหารพื้นที่แหล่งแร่ดังกล่าว BGF มีรายได้จากการขายแร่หายากเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนเพียงบางกลุ่ม ขณะที่ประชาชนท้องถิ่นไม่ได้รับประโยชน์ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านในพื้นที่ปางวาและชิพเวจึงเรียกร้องให้ KIO/KIA ซึ่งเป็นผู้ดูแลใหม่ นำรายได้จากภาษีแร่หายากมาใช้เพื่อพัฒนาบริการด้านสุขภาพ การศึกษา และการพัฒนาท้องถิ่น
องค์กร โกลบอลวิทเนสส์ (Global Witness)ซึ่งเป็นองค์กรอิสระติดตามด้านสิ่งแวดล้อม ได้แนะนำให้ KIO/KIA ทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากแร่หายาก ส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ และปกป้องสิ่งแวดล้อม
การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก
รายงานของ Global Witness ระบุว่า หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แร่แรร์เอิร์ทจากรัฐคะฉิ่นถูกนำไปใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การผลิตพลังงานลม โทรศัพท์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ซึ่งแม้ว่าแร่หายากจะถูกใช้ในการผลิตพลังงานสะอาด แต่รายงานและงานวิจัยเปิดเผยว่าผลกระทบจากการทำเหมืองทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างหนักในชีวิตประจำวัน
ในช่วงที่ BGF ปกครองพื้นที่ดังกล่าว เหมืองแร่หายากก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง
ขอบคุณภาพจาก Global Witness